x close

ขับรถเข้าเมือง ลุยฝุ่น PM2.5 ปลอดภัยไหม และมีความเสี่ยงแค่ไหนกัน

ปัญหามลพิษฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน แล้วเราอยู่ในรถจะปลอดภัยไหม มีความเสี่ยงแค่ไหน และควรทำอย่างไรบ้างกับรถยนต์ เมื่อเจอภาวะฝุ่น PM2.5

ภาพจาก itman__47 / Shutterstock.com

ตอนนี้ทุกคนเริ่มตระหนักรู้กับมลพิษ ฝุ่น PM2.5 มากขึ้น เพราะเกินค่ามาตรฐานยาวนานนับสัปดาห์ มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น และไม่ได้มีแค่กรุงเทพฯ แต่ยังปกคลุมภาคกลาง ภาคอีสานตอนล่าง และภาคเหนือตอนล่าง ความหนาแน่นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าคล้ายหมอก

ต้นตอของปัญหาเกิดจากเถ้าฝุ่นจากการเผามากที่สุด ตามมาด้วยมลพิษรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล และฝุ่นจากการก่อสร้าง ปกติ ฝุ่น PM2.5 จะเยอะช่วงเปลี่ยนฤดูหนาวไปฤดูร้อนเพราะอากาศปิด และฝุ่นจากประเทศเพื่อนบ้านที่ถูกทิศลมพัดพามาปกคลุม ทำให้ฝุ่นแขวนลอยในอากาศนาน

สามารถเข้าไปถึงถุงลมในปอด เป็นผลทําให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ หากได้รับในปริมาณมากหรือเป็นเวลานานจะสะสมในเนื้อเยื่อปอด ทําให้การทํางานของปอดเสื่อมประสิทธิภาพลง ทําให้หลอดลมอักเสบ มีอาการหอบหืด

และอย่างที่รู้ ๆ กัน การป้องกันคือใส่หน้ากาก N95 หรือหากหาสินค้าไม่ได้ ก็ควรใส่หน้ากากอย่างน้อย 2 ชั้นเพื่อลดจำนวนฝุ่นที่เข้าถึงปอดเราโดยตรง แต่หลายคนคงสงสัยว่าฝุ่น PM2.5 สามารถเข้าในรถได้หรือไม่ และช่วงนี้อยากปลอดภัยควรทำอย่างไร เรามีวิธีมาบอก

  • อยู่ในรถปลอดภัยแค่ไหนกัน 

แม้ในรถยนต์ที่สมบูรณ์ มีกรองอากาศที่ดีและยังสามารถกรองกลิ่นได้ด้วยนั้น ก็อาจไม่ปลอดภัยจากฝุ่นขนาด PM2.5 เสียทั้งหมด เพราะเปิดประตูอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นก็ไหลเข้ามารอในห้องโดยสารเต็มไปหมด แต่ไม่เสี่ยงเท่ากับคนเดินถนน เทียบให้เห็นภาพชัด ๆ รถติดกลางแยกเราก็สามารถนั่งรอไฟแดงที่นานได้อย่างชิล ๆ ในขณะที่คนเดินข้ามถนนเหม็นกลิ่นและเคืองจมูกได้อย่างรุนแรง ฉะนั้นการขับรถตามปกติก็ไม่ได้เป็นอันตราย เว้นเสียแต่เปิดกระจกขณะขับรถ

แต่หากรถคุณมีปัญหาเรื่องกรองอากาศอยู่แล้วละก็ แค่ติดไฟแดงก็มีกลิ่นเหม็นควันรถจนทนไม่ได้

  • อย่าลืมเปิดระบบแอร์หมุนวนภายในรถ ปลอดภัยหายห่วง

เช็กให้ดีว่าเปิดระบบอากาศหมุนวนภายในห้องโดยสาร ปุ่มนี้จะปิดช่องดักอากาศจากภายนอกแล้วใช้อากาศภายในห้องโดยสารหมุนเวียนผ่านช่องที่อยู่บริเวณคอนโซลหน้ารถ และเมื่อฝุ่นที่อยู่ในห้องโดยสารผ่านกรองแอร์ HEPA ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องฟอกอากาศในรถ เราจะเปิดเอาอากาศภายนอกมีความชื้นสูง กระจกเป็นฝ้าก็พอ

  • กรองแอร์ก็ควรเปลี่ยนอย่างน้อยปีละครั้ง หรือทุก ๆ 15,000 กิโลเมตร 

ในรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ มีช่องสำหรับกรองแอร์ ใครที่ไม่เคยทำลองตรวจเช็กดู เพราะบางครั้งรถยนต์รุ่นนั้นมีที่ใส่กรอง แต่ไม่มีกรองอยู่ก็เป็นได้ ตำแหน่งของกรองแอร์ส่วนใหญ่อยู่หลังเก๊ะฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า

  • รถยนต์ของคุณไม่มีกรองแอร์ ก็สามารถทำเองได้

ภาพจากยูทูบดอทคอม โพสต์โดย Micicon DIY

เราได้รวบรวมตัวอย่างของรถบางรุ่นที่ไม่มีกรองแอร์ แต่เจ้าของรถก็เลือกดัดแปลงติดตั้งกรองแอร์บริเวณโบเวอร์ที่ดูดลมภายในห้องโดยสาร ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างดี ส่วนนี้มักมองไม่เห็นปิดมิดชิดสวยงาม แต่หากใครไม่คิดจะดัดแปลงก็ข้ามไป และหันมาเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศในรถก็ได้

หากไม่เป็นด้านงานช่าง ไม่มีเครื่องมือ ร้านประดับยนต์รับทำครับ

Toyota Camry 2003 รู้หรือไม่ รถรุ่นนี้ไม่เคยมีกรองแอร์มาให้ !!! กับวิธีใส่กรองแอร์

DIY กรองแอร์ NISSAN Sunny NEO

DIY เจาะช่องกรองแอร์ไม่ง้อช่าง Honda BR-V

สรุปแล้วอยู่ในรถยนต์ก็คงไม่ต้องกังวลปัญหาฝุ่น PM2.5 แต่ก็อยากให้ทุกคนตรวจสอบและเช็กสภาพรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ ไม่ดัดแปลงสภาพรถโดยเฉพาะกลุ่มรถกระบะเครื่องยนต์ดีเซล หากรถมีควันขาว-ควันดำ แล้วคุณละเลย ก็รู้ไว้เถอะว่าคุณคือส่วนหนึ่งของต้นตอปัญหาฝุ่น PM2.5 ในขณะนี้

ข้อมูลจาก กรมควบคุมมลพิษ

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ขับรถเข้าเมือง ลุยฝุ่น PM2.5 ปลอดภัยไหม และมีความเสี่ยงแค่ไหนกัน อัปเดตล่าสุด 22 มกราคม 2562 เวลา 14:07:25 13,953 อ่าน
TOP