หลังจากที่กระแสของรถครอสโอเวอร์ขนาดคอมแพกต์เริ่มได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว แต่ใคร ๆ ก็คงแปลกใจที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota กลับปล่อยให้คู่แข่งร่วมชาติทั้ง Nissan ที่เปิดตลาดก่อนใครด้วย Qashqai และ Juke และตามด้วย Honda HR-V กอบโกยยอดขายกันอย่างเพลิดเพลินโดยไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัว
จนกระทั่งในงาน ปารีส มอเตอร์ โชว์ 2014 เราจึงได้เห็นรถต้นแบบคอมแพกต์ครอสโอเวอร์ที่มีคาแรคเตอร์สุดโดดเด่นจาก Toyota กันเป็นครั้งแรกและครั้งที่สองในงาน แฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์ โชว์ 2015 โดยมีการปรับรายละเอียดให้เหมาะสำหรับการผลิตจริงมากขึ้น
Toyota C-HR Concept #1 ในงาน 2014 Paris Motor Show
Toyota C-HR Concept #2 ในงาน 2015 Frankfurt motor show
Toyota C-HR Concept #2 ในงาน 2015 Frankfurt motor show
และเวลาที่หลายคนรอคอยก็มาเสียที Toyota C-HR เวอร์ชั่นสุดท้ายสำหรับการผลิตจริงโดยปราศจากคำว่า "Concept" หรือ "รถต้นแบบ" ก็เผยโฉมอย่างเป็นทางการเรียบร้อย ในงาน 2016 Geneva Motor Show ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-13 มีนาคม 2559
ยังคงความเป็นคอมแพกต์ครอสโอเวอร์ท้ายลาดแบบรถคูเป้ที่โดดเด่นคล้ายต้นแบบด้วยสไตล์เฉียบคมและมีพลังประดุจอัญมณี โดย Toyota ใช้คำว่า Diamond architectural theme ซึ่งถูกพัฒนาบนโครงสร้างตัวถังสหกรณ์ TNGA (Toyota New Global Architecture) เช่นเดียวกับ Toyota Prius 2016 ใหม่ ที่ออกแบบไว้ให้สามารถนำมาปรับใช้ได้กับรถยนต์หลายรุ่น
สไตล์การดีไซน์ของ Toyota C-HR เป็นการผสานระหว่างรูปทรงของอัญมณีเข้ากับความพลิ้วไหวด้วยพื้นผิวแบบ Fluid Surface ด้านหน้ายังใช้ Keen Look Design ของ Toyota ที่มีไฟคาดยาวต่อเนื่องตั้งแต่เหนือซุ้มล้อมาจนถึงกระจังหน้าที่เอาไว้ติดโลโก้มากกว่าทำหน้าที่เป็นช่องดักอากาศซึ่งจะอยู่บริเวณกันชนด้านล่าง
ด้านข้างเน้นความโค้งมนสะดุดตาด้วยการซ่อนบานประตูคู่หลังให้ดูคล้ายกับรถคูเป้และเพิ่มลูกเล่นอย่างเส้นขอบกระจกล่างยกเฉียงเป็นครีบฉลามบริเวณเสา C ขึ้นไปรับกับแนวเส้นหลังคาด้านบนที่พ่นสีดำเพื่อหลอกตาว่ามีความลาดต่ำมากกว่าความเป็นจริงให้คล้ายกับรถต้นแบบมากที่สุดโดยยังมีพื้นที่มากพอสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
ที่ด้านท้ายของ Toyota C-HR กลายเป็นจุดที่ได้รับการปรับลดโทนจากคันต้นแบบมากที่สุดแต่คงรูปแบบใกล้เคียงกันด้วยพื้นผิวที่เล่นระดับสูง-ต่ำซับซ้อน รับกับไฟท้ายทรงหัวลูกศร ฝาท้ายออกแบบให้มีสันคล้ายสปอยเลอร์ในตัว ส่วนกันชนชิ้นใหญ่เข้ารูปกับตัวถังต่อเนื่องจากซุ้มล้อคาดด้วยคิ้วกันกระแทกสีดำดูแข็งแกร่ง
สำหรับขุมพลังของ Toyota C-HR จะเป็นแบบไฮบริดที่ประหยัดและมีน้ำหนักเบากว่าเพื่อสมรรถนะที่คมขึ้นกว่าระบบไฮบริดรุ่นก่อนของ Toyota โดยมีพละกำลัง 122 แรงม้า กับทางเลือกที่เป็นเครื่องยนต์เบนซินธรรมดา ขนาด 1.2 ลิตรเทอร์โบ ซึ่งใช้ใน Toyota Auris ให้กำลังสูงสุด 115 แรงม้า จับคู่กับเกียร์ที่มีให้เลือกทั้งแบบธรรมดา 6 จังหวะ และอัตโนมัติ CVT ที่จะมีทั้งในเวอร์ชั่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และ 2 ล้อหน้า แต่สำหรับบางตลาดจะใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ที่มีให้เลือกเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ CVT เท่านั้น
Toyota C-HR ได้รับการปรับเซตให้มีการขับขี่ที่สนุกสนานคล่องแคล่ว ด้วยการออกแบบจุดศูนย์ถ่วงต่ำลดการโคลงตัวร่วมกับระบบกันสะเทือนหลังแบบอิสระมัลติลิงก์ ส่วนแชสซีส์ TNGA นั้นได้รับการออกแบบให้มีการตอบสนองต่อการควบคุมอย่างเป็นธรรมชาติ เที่ยงตรง มั่นคงและแม่นยำ
ซึ่งได้ทำการวิ่งทดสอบในยุโรปหลายพันกิโลเมตรเพื่อให้ได้ความรู้สึกแบบเดียวกับรถยุโรป พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยทันสมัยอย่างระบบเตือนการชน ระบบแจ้งเตือนการเปลี่ยนช่องทางเดินรถ ระบบปรับลดไฟสูงอัตโนมัติ ระบบตรวจจับคนเดินเท้า และระบบรักษาความเร็วอัตโนมัติ เป็นต้น
ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมายของ Toyota C-HR หวังจับลูกค้าซึ่งต้องการรถที่สามารถแสดงออกถึงไลฟ์สไตล์เพื่อบ่งบอกความเป็นตัวตนได้ชัดเจนเสมือนเป็นเครื่องประดับ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมากกว่าการเป็นรถครอสโอเวอร์ที่เน้นการใช้งานอย่างจริงจัง
เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ให้ความสำคัญกับความกว้างขวางอเนกประสงค์มากกว่าสไตล์ที่แสนเก๋อาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของ Toyota C-HR เสียเท่าไร
แต่ถ้าคุณเป็นกลุ่มที่ใช่ก็คงต้องรอหน่อยเพราะแว่ว ๆ มาว่ากวา Toyota C-HR จะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ต้องรอคอยกันอีก 2-3 ปีครับ
world_id:56d9456f4d265ad3758b45b5
ภาพจาก Toyota