ถึงแม้ว่า Subaru จะไม่ใช่ผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่คิดค้นเครื่องยนต์ Boxer แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันได้กลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของ Subaru ไปแล้ว นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ Subaru เริ่มนำเครื่องยนต์ Boxer มาใช้ใน Subaru 1000 รถยนต์นั่ง 4 ประตูขนาดกะทัดรัด เมื่อปี 1966
Subaru 1000/ Subaru FF-1
หลังจากนั้น Subaru ได้พัฒนาเครื่องยนต์ Boxer สำหรับรถยนต์ของตนเองเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ครบรอบ 50 ปีพอดี โดยในระยะเวลาที่ผ่านมามีรถยนต์ของ Subaru ที่ใช้เครื่องยนต์ Boxer ออกจากสายการผลิตเป็นจำนวนมากถึง 16 ล้านคัน
ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นของเครื่องยนต์ Boxer ทำให้ Subaru เลือกที่จะใช้เครื่องยนต์รูปแบบนี้แม้จะมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า (รวมถึงเวลาที่ต้องมีการบำรุงดูแลรักษาด้วย) เครื่องยนต์สูบเรียงหรือสูบวีซึ่งนิยมใช้กันแพร่หลาย แต่เพราะเครื่องยนต์ Boxer นั้นให้ความสมดุลจากการกระจายน้ำหนักได้ดีกว่า จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำและมีแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์น้อย
ทั้งนี้เนื่องจากลูกสูบถูกออกแบบให้วางในแนวนอนแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ซึ่งเคลื่อนที่เข้า-ออกในทิศทางตรงข้ามกันเสมอ (จุดนี้เครื่อง Boxer จึงมีความแตกต่างจากเครื่องสูบนอนแบบ Flat Engine ซึ่งลูกสูบที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะเคลื่อนตามกันไปในทิศทางเดียวกันและจะไม่เรียกว่า Boxer แม้จะมีการวางลูกสูบนอนเหมือนกันก็ตาม) จึงเกิดการหักล้างของแรงสั่นสะเทือนส่งผลให้มีเสียงการทำงานที่เงียบขึ้นด้วย
ดังนั้นเครื่องยนต์ Boxer จึงกลายเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้รถยนต์ของ Subaru มีการบังคับควบคุมที่เหนือกว่าและเมื่อรวมเข้ากับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Symmetrical All-Wheel Drive จึงช่วยเพิ่มความมั่นคงและการยึดเกาะขณะขับขี่ยามเข้าโค้งหรือใช้ความเร็วสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย จากคุณสมบัติเด่นนี้ของรถยนต์ Subaru จึงกลายเป็นที่มาของนิยาม “Confidence in Motion” ประจำแบรนด์
ซึ่งในโอกาสครบรอบ 50 ปี กับความสำเร็จของเครื่องยนต์ Boxer นี้ Subaru ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อมอบการขับขี่ที่สนุกสนานและให้ความรู้สึกอิสระแก่ลูกค้า Subaru ทั่วโลกต่อไป
ความนิยมอาจไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าของสิ่งนั้นดีที่สุดเสมอไปและแน่นอนว่าไม่มีอะไรดีพร้อมไปทุกด้านขึ้นอยู่กับว่าเราให้ความสำคัญกับสิ่งไหนมากที่สุด ซึ่งบางทีมันอาจจะเป็นเครื่อง Boxer ก็ได้ใครจะรู้ตราบเท่าที่ยังไม่ได้สัมผัส
ภาพจาก Subaru
