x close

ตรวจสภาพรถ ก่อนต่อภาษี ต้องเตรียมอะไรบ้าง มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ?

การตรวจสภาพรถยนต์และรถจักรยานยนต์ก่อนไปต่อภาษี หรือเสียภาษีประจำปี มีขั้นตอนอย่างไร ใช้เอกสารอะไรบ้าง และต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไร 

ตรวจสภาพรถ

ใครที่มีรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์ มีสิ่งหนึ่งที่ต้องทำกันเป็นประจำทุกปีก็คือการต่อภาษี สำหรับรถใหม่อาจไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยากนัก แต่สำหรับรถที่ใช้งานมากเกิน 5 หรือ 7 ปี สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนจะนำรถของท่านไปต่อภาษี 2566 คือการนำรถไปตรวจสภาพตามข้อบังคับกฎหมาย เพื่อให้ได้ใบรับรองการตรวจสภาพรถที่พร้อมใช้งาน ไม่เกิดปัญหาในระหว่างการขับขี่ สำหรับไปยื่นทำเรื่องต่อภาษีรถยนต์ประจำปี

วันนี้เรารวบรวมข้อมูลสำหรับการตรวจสภาพรถว่าจะต้องตรวจเช็กอะไรบ้าง สามารถไปตรวจได้ที่ไหน และมีราคาเท่าไหร่ ไปดูกันเลย

ตรวจสภาพรถ ทำไมต้องตรวจ

การตรวจเช็กสภาพรถประจำปี เป็นการตรวจสอบสภาพของตัวรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร อีกทั้งยังจะช่วยลดความสูญเสียและอุบัติเหตุต่าง ๆ ทั้งที่จะเกิดกับเราและผู้ร่วมทางที่อยู่บนท้องถนน รวมถึงให้เป็นไปตามกฎของกระทรวงตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ที่ว่าด้วยรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก จะต้องได้รับการตรวจสภาพรถก่อนจะไปยื่นชำระภาษีรถยนต์ประจำปี 

อีกทั้งการตรวจสภาพรถประจำปียังได้รับสิทธิ์ต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการ เช่น การซื้อประกัน ไปจนถึงการรักษามูลค่าของตัวรถหากต้องนำไปขายทอดตลาดอีกด้วย

ตรวจสภาพรถ รถประเภทไหนบ้างที่ต้องตรวจ ?

รถกี่ปีต้องตรวจสภาพ รถที่เข้าข่ายต้องได้รับการตรวจสภาพต้องนับอายุการใช้งานของรถ โดยให้นับอายุทางทะเบียนตั้งแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก ถึงวันสิ้นสุดอายุภาษีประจำปี (วันครบกำหนดเสียภาษีประจำปี) และสามารถนำรถเข้าตรวจสภาพล่วงหน้าได้ 3 เดือน ก่อนถึงวันสิ้นอายุภาษีประจำปี โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป

  • รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป

  • รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป

  • รถจักรยานยนต์ ที่มีอายุใช้งานครบ 5 ปีขึ้นไป

ตรวจสภาพรถ ได้ที่ไหนบ้าง

สำหรับสถานที่ในการตรวจสภาพรถนั้นจะมีอยู่ 2 แห่งด้วยกัน ได้แก่ 

  • กรมการขนส่งทางบก เจ้าของรถสามารถติดต่อขอตรวจสภาพรถประจำปีที่กรมการขนส่งทางบกได้โดยตรงภายในจังหวัดที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่ส่วนมากจะนิยมตรวจสภาพรถยนต์ขนาดใหญ่มากกว่า รวมถึงรถที่มีการดัดแปลงสภาพ เปลี่ยนสีตัวถัง เปลี่ยนเครื่องยนต์ รถที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลขตัวรถหรือเลขเครื่องยนต์ รถที่ขาดต่ออายุทะเบียนเกิน 1 ปี เป็นต้น

  • สถานตรวจสภาพรถเอกชน หรือ ตรอ. เป็นสถานตรวจสภาพรถที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก โดยสถานที่นี้จะรับตรวจเช็กสภาพรถให้ตรงตามข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบก และสามารถออกเอกสารการันตีเพื่อใช้ในการต่อภาษีประจำปีได้

ตรวจสภาพรถ ต้องเตรียมอะไรบ้าง

สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนนำรถยนต์และมอเตอร์ไซค์เข้าไปตรวจเช็กสภาพ ได้แก่ ใบคู่มือจดทะเบียนรถ หรือเล่มทะเบียนรถ (รถยนต์ : เล่มสีฟ้า / จักรยานยนต์ : เล่มสีเขียว) สามารถใช้ได้ทั้งฉบับจริงหรือสำเนา และยานพาหนะนั้น ๆ ที่ต้องเข้ารับการตรวจสภาพ

ตรวจสภาพรถยนต์ ตรวจอะไรบ้าง ?

ในการตรวจสภาพรถประจำปีสำหรับรถยนต์ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบข้อมูลของตัวรถว่าตรงกับที่ระบุในใบคู่มือจดทะเบียนหรือไม่ จากนั้นจะทำการตรวจสอบความพร้อมของสภาพรถ ได้แก่ ตัวถัง สี อุปกรณ์เกี่ยวกับความปลอดภัย พวงมาลัย ที่ปัดน้ำฝน ว่าพร้อมใช้งานมากน้อยขนาดไหน

  • ตรวจสอบระบบบังคับเลี้ยว ระบบเบรก ว่ายังใช้งานได้ปกติหรือไม่ พร้อมทดสอบประสิทธิภาพการเบรก โดยตรวจสอบอุปกรณ์ทุกชิ้นให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน 

  • ตรวจสอบวัดโคมไฟหน้า ทิศทางการเบี่ยงเบนของแสง และวัดค่าความเข้มของแสง

  • ตรวจสอบวัดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) และก๊าซไฮโดรคาร์บอน (HC) ของรถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง รถยนต์เครื่องดีเซลต้องตรวจควันดำ โดยระบบการกรองต้องไม่เกินร้อยละ 50 และระบบความทึบแสงต้องไม่เกินร้อยละ 45

  • ตรวจวัดเสียงรถ ต้องไม่เกิน 100 เดซิเบล

  • สำหรับรถใช้แก๊สนั้นจะต้องมีการตรวจเพิ่มเติม คือ การตรวจ ทดสอบ เช็กตามข้อต่อ ตลอดจนท่อและอุปกรณ์แก๊สทั้งระบบ ว่ามีความสมบูรณ์พร้อมใช้งานหรือไม่ โดยถังแก๊สต้องมีอายุไม่เกิน 10 ปี รถที่ติดถังแก๊สที่มีอายุเกิน 10 ปี จะมีการตรวจสอบว่ายังใช้งานได้ต่ออีกหรือไม่ โดยจะพิจารณาจากอุปกรณ์ที่ติดตั้งว่ามีความสมบูรณ์พร้อมใช้งานมากน้อยขนาดไหน ซึ่งถ้าตรวจสอบแล้วก็จะออกใบรับรองเพื่อยืดอายุการใช้งานต่อได้อีก 5 ปี ตามกฎหมาย

ตรวจสภาพรถ

ตรวจสภาพรถจักรยานยนต์ ตรวจอะไรบ้าง ?

ตรวจสอบสภาพโดยรวมของรถ ชุดสี ชุดแฟริ่ง กระจกมองหลัง ว่ายังอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ปกติหรือไม่

  • เช็กระบบไฟส่องสว่าง ทั้งไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรก และไฟเลี้ยว ต้องไม่มีหลอดไฟขาด สามารถส่องสว่างและใช้งานได้ทุกดวง

  • ระบบเสียงแตร เวลากดต้องมีเสียงแตรดังออกมา

  • ระบบเบรก ตรวจเช็กระบบเบรก สามารถหยุดหรือชะลอเบรกได้

  • ค่าไอเสียมลพิษทางอากาศที่ถูกปล่อยว่าเป็นไปตามข้อบังคับหรือไม่

ตรวจสภาพรถ มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่

การตรวจสภาพรถประจำปีทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์จะมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด ดังนี้

  • รถจักรยานยนต์ คันละ 60 บาท

  • รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าไม่เกิน 1,600 กิโลกรัม คันละ 150 บาท

  • รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าเกิน 1,600 กิโลกรัม คันละ 250 บาท

ถ้าหากตรวจสภาพแล้วไม่ผ่านสามารถนำรถกลับไปแก้ไขให้ได้สภาพตามข้อกำหนด และนำกลับมาตรวจสอบที่เดิมได้ โดยจะเสียค่าใช้จ่ายเพียงครึ่งเดียวของอัตราที่กำหนดเอาไว้ แต่จะต้องนำกลับมาตรวจภายใน 15 วัน หากนำมาตรวจเกินเวลาที่กำหนดต้องชำระเต็มจำนวนอีกครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ยังมีรถบางลักษณะที่ไม่เข้าเกณฑ์การตรวจสภาพรถของเอกชน หรือ ตรอ. โดยจะเป็นกลุ่มรถประเภทดัดแปลงสภาพผิดไปจากที่ได้จดทะเบียนไว้ เช่น เปลี่ยนชิ้นส่วนรถ เปลี่ยนสี เปลี่ยนเครื่องยนต์ จนไม่เหลือสภาพเค้าเดิม, ตัวเลขรหัสรถหรือรหัสเครื่องยนต์ชำรุด หรือมีร่องรอยการแก้ไข ขูด ลบ หรือลบเลือน จนไม่สามารถตรวจสอบได้, รถที่ไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราว หรือใช้งานไม่ได้ถาวร, รถที่มีเลขทะเบียนรุ่นเก่า (เช่น กท-00001, กทจ-0001 เป็นต้น), รถที่ถูกโจรกรรมแล้วได้คืน และรถที่ขาดต่อทะเบียนเกิน 1 ปี ซึ่งรถที่เข้าข่ายลักษณะนี้จะต้องนำไปตรวจที่กรมการขนส่งทางบกเท่านั้น

นอกจากนี้ก่อนการต่อภาษีหรือเสียภาษีประจำปี อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องมีก็คือ พ.ร.บ. หรือประกันภัยภาคบังคับ โดยราคาของ พ.ร.บ. นั้นก็จะแตกต่างกันออกไปทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ รวมถึงขึ้นอยู่กับประเภทของการใช้รถด้วย

ค่าต่อ พ.ร.บ. สำหรับรถยนต์

  • รถส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง ราคาอยู่ที่ 600 บาท

  • รถส่วนบุคคลเกิน 7 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 15 ที่นั่ง ราคาอยู่ที่ 1,100 บาท

  • รถส่วนบุคคลเกิน 15 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 20 ที่นั่ง ราคาอยู่ที่ 2,050 บาท

  • รถส่วนบุคคลเกิน 20 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 40 ที่นั่ง ราคาอยู่ที่ 3,200 บาท

  • รถส่วนบุคคลเกิน 40 ที่นั่ง ราคาอยู่ที่ 3,740 บาท

ค่าต่อ พ.ร.บ. สำหรับรถมอเตอร์ไซค์

  • รถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 75 ซี.ซี. ราคาอยู่ที่ 161.57 บาท

  • รถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์เกิน 75-125 ซี.ซี ราคาอยู่ที่ 323.14 บาท

  • รถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์เกิน 125-150 ซี.ซี. ราคาอยู่ที่ 430.14 บาท

  • รถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์เกิน 150 ซี.ซี. ขึ้นไป ราคาอยู่ที่ 645.21 บาท

  • รถจักรยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ราคาอยู่ที่ 323.14 บาท

ทั้งนี้ การตรวจสภาพรถเป็นสิ่งที่จำเป็นเมื่อเราจะต้องไปยื่นภาษีรถยนต์ประจำปี เพราะถือว่าเป็นข้อบังคับสำหรับรถที่มีอายุเกิน 7 ปี รถมอเตอร์ไซค์ที่มีอายุเกิน 5 ปี นอกจากจะช่วยให้รู้ว่ารถของท่านนั้นมีอะไรเสื่อมสภาพบ้าง เพื่อที่จะได้แก้ไขให้กลับมาสมบูรณ์พร้อมใช้อยู่เสมอ ลดการเกิดอุบัติเหตุหรือเป็นอันตรายแก่เพื่อนร่วมทางนั่นเอง

บทความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการต่อภาษี

ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมการขนส่งทางบก(2)

 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ตรวจสภาพรถ ก่อนต่อภาษี ต้องเตรียมอะไรบ้าง มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ? อัปเดตล่าสุด 14 กรกฎาคม 2566 เวลา 17:08:41 242,694 อ่าน
TOP