งานประมูลรถคลาสสิกในสหรัฐพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก autoblog
ยอดประมูลรถคลาสสิกในงานแสดงรถยนต์หรูพุ่งสูงกว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 12,800 ล้านบาท นักวิเคราะเตือนราคาอาจตกวูบ
รถคลาสสิกถือเป็นของสะสมอย่างหนึ่งของมหาเศรษฐีทั้งหลายในปัจจุบัน และถือเป็นสินค้าอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบมากมาย โดยล่าสุด ในงานแสดงและประมูลรถยนต์คลาสสิก Pebble Beach ที่จัดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐฯ ก็ได้สร้างสถิติใหม่ด้วยการเป็นงานประมูลที่มียอดเงินสูงที่สุดในประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มงานแสดงในครั้งแรก
ฮาเกอร์ตี้ บริษัทประกันภัยสำหรับรถยนต์สะสม รายงานว่ายอดขายรถยนต์จากบรรดาบริษัทรับประมูลรายทั้งหลายในงานทั้ง กู๊ดดิ้ง แอนด์ โค., อาร์เอ็ม อ๊อกชั่น, เมอร์คัม อ๊อกชั่น และอื่น ๆ พุ่งสูงแตะตัวเลข 399 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 12,700 ล้านบาท) เมื่อรวมกับการซื้อขายในงานที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ทำให้มูลค่าของรถยนต์คลาสสิกที่ซื้อขายกันในงานรวมกันทะลุ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 12,800 ล้านบาท) อย่างแน่นอน มากกว่าปี 2013 ซึ่งทำไว้ 312 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 9,990 ล้านบาท)
ทั้งนี้ราคาเฉลี่ยของรถยนต์ที่จำหน่ายในงานนั้นอยู่ที่ 535,648 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 17.2 ล้านบาท) สูงขึ้นกว่าปี 2013 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนรถยนต์ที่แพงที่สุดตกเป็นของเฟอร์รารี จีทีโอ (Ferrari GTO) รุ่นปี 1962 ด้วยราคา 38 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,200 ล้านบาท) นอกจากนี้ เฟอร์รารียังเป็นรถยนต์ยอดนิยมของบรรดานักสะสมอยู่เช่นเคย โดยรถยนต์ 5 อันดับแรกที่แพงที่สุดในงานตกเป็นของเฟอร์รารีทั้งหมด
นักวิเคราะห์การตลาดเผยว่า การที่ราคาประมูลของรถคลาสสิกพุ่งสูงเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย แสดงถึงความไม่มั่นคงและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขให้เหมาะสม วินส์ตัน กู๊ดเฟลโลว์ ผู้เชี่ยวชาญด้านรถคลาสสิกกล่าวว่า การที่ราคาของรถยนต์คลาสสิกทะยานขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ในเวลาเพียง 6 เดือนนั้น ไม่ใช่ภาวะปกติของตลาด และมีความเสี่ยงที่ราคาอาจจะปรับตัวลดลงสู่จุดที่เหมาะสม
วินส์ตัน กล่าวว่า ขณะนี้ ตลาดได้ส่งสัญญาณเตือนถึงความไม่สมเหตุสมผลดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่มีใครสนใจ ซึ่งเราควรจะต้องทำการแก้ไขก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
แต่อย่างไรก็ตามในขณะนี้ ราคาของบรรดารถคลาสสิกยังคงทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเฟอร์รารี เห็นแบบนี้มีใครคิดจะซื้อเจ้าม้าลำพองไว้เก็งกำไรในอีก 50 ปีข้างหน้าบ้างไหมครับ