ไครสเลอร์ปฏิเสธเรียกคืนรถ แม้มีจดหมายแจ้งน้ำมันอาจรั่ว

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก zuoda.net เเละ bungaz.com

          เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน มีรายงานว่า บริษัทไครสเลอร์ ปฏิเสธที่จะเรียกคืนรถจี๊ปกว่า 2.7 ล้านคันทั่วสหรัฐอเมริกา หลังจากที่รัฐบาลอเมริกันกล่าวว่า รถยนต์คันดังกล่าว อาจมีความเสี่ยงที่ถังน้ำมันจะติดไฟขึ้นมาได้ ในกรณีที่มีการชนจากด้านหลัง

          ด้านสำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรทางบกแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ได้ส่งจดหมายไปที่บริษัทไครสเลอร์ เพื่อสอบถามความสมัครใจให้ทางบริษัท เรียกคืนรถยนต์จี๊ป เชอโรกี รุ่นปี ค.ศ. 1993 ถึงปี ค.ศ. 2004 และรถยนต์จี๊ป ลิเบอร์ตี้ รุ่นปี ค.ศ. 2002 ถึงปี ค.ศ. 2007 ซึ่งทางกลุ่มไครสเลอร์ โดยที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือบริษัทเฟียต กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันอังคารที่ 4 มิถุนายนว่า รถจี๊ปรุ่นดังกล่าวมีความปลอดภัยและไม่มีความจำเป็นต้องเรียกคืนรถ

          กรณีการออกมาปฏิเสธการเรียกคืนรถนั้น ถือเป็นเรื่องที่หาได้ยาก อย่างไรก็ตาม สำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรทางบกฯ สามารถออกคำสั่งให้มีการเรียกคืนรถได้ แต่ต้องอาศัยคำสั่งศาลเพื่อการบังคับในกรณีนี้

          ด้านสำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรทางบกฯ ได้เริ่มสืบสวนกรณีดังกล่าวกับรถจี๊ป เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2010 หลังจากที่ได้รับร้องเรียนเรื่องนี้ จากศูนย์เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถยนต์ ที่ตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดีซี โดยที่นายคลาเรนซ์ ดิทโลว์ หัวหน้าศูนย์ ได้ส่งจดหมายไปที่ไครสเลอร์ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อให้ทางไครสเลอร์ เรียกคืนรถจี๊ปรุ่นดังกล่าว
         
          ด้านสำนักงานตัวแทนพบว่า ถังน้ำมันของรถจี๊ป จะทำงานล้มเหลวเมื่อถูกชนจากด้านหลัง ทำให้มีน้ำมันรั่วและสามารถทำให้เกิดไฟไหม้ขึ้นมาได้ จุดที่ติดตั้งถังน้ำมันตรงด้านหลังเพลาหลัง และความสูงของรถจากพื้นถนนนั้น ถือเป็นข้อบกพร่องของการออกแบบ ซึ่งทางไครสเลอร์เอง ก็ได้ย้ายถังน้ำมันของรถรุ่นแกรนด์ เชอโรกี มาติดตั้งไว้ด้านหน้าของเพลาหลังเมื่อปี ค.ศ. 2005 และทำแบบเดียวกันกับรุ่นลิเบอร์ตี้ เมื่อปี ค.ศ. 2007 แต่การดัดแปลงแก้ไขรถยนต์จี๊ปรุ่นเก่าด้วยการติดตั้งถังน้ำมันในจุดใหม่ ต้องใช้เวลานานและมีราคาแพง ซึ่งในปี ค.ศ. 2011 โตโยต้าเองก็ได้เรียกคืนรถกว่า 1.7 ล้านคัน เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีน้ำมันรั่วออกมาจากถัง เนื่องจากเซ็นเซอร์วัดความดันเชื้อเพลิงติดตั้งเอาไว้หลวม ๆ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่า การเรียกคืนรถครั้งนี้ มีค่าใช้จ่ายกว่า 240 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7,339 ล้านบาทเลยทีเดียว