เหลือเวลาอีกแค่ประมาณ 1 ปีเท่านั้น Jaguar I-Pace Concept รถ SUV ไฟฟ้าต้นแบบที่เห็นอยู่นี้ ซึ่งเผยโฉมในงาน LA Auto Show 2016 ทาง Jaguar ได้แพลนไว้ว่าจะเปิดตัวคันจริงได้ช่วงปลายปี 2017 ที่จะถึงนี้แล้ว และพร้อมจำหน่ายครึ่งหลังของปี 2018 แบบนี้ต้องเรียกว่าเสือปืนไวของแท้
ในส่วนของรูปร่างหน้าตาของ Jaguar I-Pace Concept นั้นใช้ภาษาการออกแบบยุคปัจจุบันโดยดีไซเนอร์คู่บุญของ Jaguar อย่าง เอียน คอลลัม (Ian Callum) ซึ่งเป็นผู้ปฏิวัติการออกแบบรถ Jaguar ยุคใหม่ ไล่มาตั้งแต่ Jaguar XJ (X351), Jaguar XF, Jaguar XE และรถสปอร์ตอย่าง Jaguar F-Type รวมไปถึง Jaguar F-Pace รถ SUV คันล่าสุด
โดยด้านหน้าและด้านท้ายของ Jaguar I-Pace Concept ยังคงอัตลักษณ์ของ Jaguar ยุคใหม่ไว้ครบถ้วน ซึ่ง เอียน คอลลัม ตีความใหม่จาก Jaguar รุ่นอมตะอย่าง Jaguar E-Type Series 1 เช่นกระจังหน้า รวมไปถึงไฟท้ายคาดยาว แต่ในจุดอื่น ๆ ตั้งใจให้ดีไซน์มีความแตกต่าง โดดเด่นจาก Jaguar รุ่นอื่น ๆ เพื่อบ่งบอกความเป็นรถไฟฟ้าได้อย่างชัดเจนขึ้น
สำหรับงานออกแบบภายใน Jaguar I-Pace Concept จะเน้นทั้งความหรูหราและสปอร์ตเป็นหลัก ทั้งนี้ในรถคันต้นแบบนั้นจะมี 5 ที่นั่ง โดยมีจุดเด่นอยู่ตรงคอนโซลกลางลอยตัวและหลังคากระจกแบบพาโนรามิก และด้วยความที่เป็นรถไฟฟ้าซึ่งไม่จำเป็นต้องมีเครื่องยนต์หรืออุโมงค์เกียร์จึงสามารถออกแบบพื้นที่ภายในได้อย่างอิสระกว้างขวางจากการขยายฐานล้อออกไปได้มากสุด รวมถึงยังเหลือเนื้อที่เก็บสัมภาระในการเดินทางได้เพิ่มขึ้นด้วย
นอกเหนือจากนี้ Jaguar I-Pace Concept ยังมีสมรรถนะที่โดดเด่นดังเช่นรถไฟฟ้ายุคใหม่ ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนให้กำลังสูงถึง 400 แรงม้า และแรงบิดมหาศาลที่ 700 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ราว 4 วินาที (น้ำหนักตัวรถไม่ได้ระบุไว้) ส่วนแบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียม-ไอออน ขนาดความจุ 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำให้ Jaguar I-Pace Concept วิ่งไปได้ไกลด้วยระยะทางเกิน 500 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งวัดโดยมาตรฐาน NEDC หรือ New European Driving Cycle แต่ถ้าเป็น Jaguar USA จะระบุว่าวิ่งได้ไกล 350 กม./ชม. หรือ 220 ไมล์
และที่น่าสนใจคือ Jaguar I-Pace Concept สามารถชาร์จไฟได้ถึง 80% ของความจุภายใน 90 นาทีเมื่อชาร์จไฟอย่างรวดเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง 50 กิโลวัตต์ (Rapid Charger)
ในเรื่องของเทคโนโลยีคงไม่มีอะไรต้องสงสัยกันอีกแล้ว แต่ปัญหาตอนนี้คงเป็นเรื่องของราคาตัวรถและสถานีชาร์จไฟหากรถไฟฟ้าจะเข้าสู่ตลาดแบบแมสโปรดักส์จริงในอนาคตอันใกล้
