หากพูดถึงตลาดรถยนต์เกิดใหม่ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในขณะนี้ คงหนีไม่พ้นประเทศจีน ซึ่งมีประชากรรวมกันกว่าพันล้านคนและมีกำลังซื้อซ่อนอยู่ในดินแดนแห่งนี้อีกมากมาย แน่นอนว่าค่ายรถยนต์ทั้งหลายคงไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปเป็นแน่จึงพยายามเข้ามาทำตลาดในประเทศจีนมากขึ้น แต่คงไม่มีค่ายรถยนต์ไหนที่ตั้งใจวางรากฐานในประเทศจีนอย่างจริงจังและน่าสนใจเท่ากับโฟล์กสวาเกน (Volkswagen) อีกแล้วในตอนนี้
นายโจเช็ม ไฮซ์แมน CEO ของโฟล์กสวาเกน กรุ๊ป ไชน่า เผยว่า โฟล์กสวาเกนวางแผนลงทุนในประเทศจีนเพิ่มเติม เป็นวงเงินกว่า 22,000 ล้านยูโร (ประมาณ 815,000 ล้านบาท) สำหรับแผนงานในปี 2015 ถึง 2019 มากกว่าแผนการก่อนของปี 2014 ถึง 2018 ที่กำหนดงบประมาณไว้ 18,000 ล้านยูโร (ประมาณ 666,000 ล้านบาท)
การลงทุนครั้งใหญ่ของโฟล์กสวาเกนเกิดขึ้นเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและมุ่งเน้นการวิจัยพัฒนาในประเทศจีนให้มากกว่าเก่า โดยนายโจเช็ม กล่าวว่า นอกจากจะต้องเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์จาก 3.1 ล้านคัน เป็น 5 ล้านคันแล้ว พวกเขายังต้องปรับปรุงคุณภาพของสินค้าให้ดีกว่าเดิมด้วยโดยปัจจุบันพวกเขามีโรงงานประกอบรถยนต์และผลิตชิ้นส่วนในประเทศจีนรวมกันกว่า 28 แห่งและร่วมมือกับค่ายรถยนต์รายใหญ่ของจีนทั้ง เอสเอไอซี (SAIC) และ เอฟเอดับเบิลยู (FAW)
ไม่เพียงแต่การลงทุนด้านทรัพย์สินเท่านั้น โฟล์กสวาเกนยังมุ่งมั่นพัฒนาบุคลากรของพวกเขาด้วย โดยมีมาตรฐานการคัดสรรและฝึกฝนอันเข้มงวด นอกจากนี้ ยังเป็นผู้สนับสนุนโครงการด้านการศึกษา กีฬา และความปลอดภัยต่าง ๆ ในท้องถิ่น
ปัจจัยที่ทำให้โฟล์กสวาเกนหันมาสนใจลงทุนในประเทศจีนมากขนาดนี้ หนีไม่พ้นเรื่องของรายได้และการเติบโต โดยปี 2014 พวกเขาทำยอดขายในประเทศจีนได้ถึง 3.68 ล้านคัน คิดเป็น 37 เปอร์เซ็นต์ของยอดรวมทั้งหมดในปีที่ผ่านมา แถมโฟล์กยังเติบโตได้ดีในประเทศจีนโดยยอดขายจำนวนดังกล่าวคิดเป็น 20.5 เปอร์เซ็นต์ของรถยนต์นั่งที่จำหน่ายทั้งหมดในปี 2014
อีกสิ่งหนึ่งที่โฟล์กสวาเกนให้ความสำคัญในการบุกประเทศจีนคือการเปิดตัวรถยนต์ใหม่ ซึ่งปี 2015 โฟล์กเตรียมเปิดตัวรถยนต์ทุกแบรนด์รวมกันกว่า 30 รุ่น และยังวางแผนผลักดันรถยนต์ที่ปล่อยไอเสียต่ำอย่างปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต เพื่อลดปัญหามลภาวะที่จีนกำลังประสบอย่างหนัก โดยตั้งเป้าว่าในปี 2020 พวกเขาจะขายรถยนต์พลังไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดให้ได้หลักแสนคันต่อปี
นับเป็นแผนการลงทุนครั้งใหญ่ของโฟล์กสวาเกนในประเทศจีนซึ่งคาดว่าจะมีผลส่งมายังประเทศอื่น ๆ ในแถบเอเชียซึ่งถูกค่ายรถญี่ปุ่นยึดครองมาอย่างยาวนาน แน่นอนว่าการบุกประเทศจีนถือเป็นก้าวแรกของการต่อกรกับโตโยต้า (Toyota) แชมป์ยอดขายรถยนต์ที่ยังไม่มีที่ทางในจีนมากนัก ก็ต้องดูกันต่อไปว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นอย่างไรครับ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก vw
