อยากคืนรถให้ไฟแนนซ์ ผ่อนรถต่อไม่ไหว มีขั้นตอนอย่างไร จะติดต่อบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อรถกับธนาคาร หรือสถาบันการเงินอย่างไร ให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
ในปัจจุบันวิกฤตการณ์และสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา น่าจะส่งผลกระทบถึงการใช้ชีวิตของหลาย ๆ คน ทำให้ต้องขาดรายได้ประจำ หรือบางคนถึงขั้นว่างงาน ทำให้เกิดปัญหาตาม โดยเฉพาะรายจ่าย เช่นค่างวดรถยนต์ที่ยังต้องผ่อนชำระอยู่ และเมื่อถึงจุดที่ไม่อาจต่อได้อีก การตัดสินใจขายรถเพื่อตัดรายจ่ายในแต่ละเดือนน่าจะเป็นหนึ่งในทางออกที่หลายคนนึกถึง
แต่ในกรณีที่ไม่อาจจะหาผู้ซื้อรถต่อ หรือผ่อนต่อได้ ทางเลือกสุดท้ายคงต้องขอยกเลิกสัญญาเช่าซื้อและคืนรถให้กับไฟแนนซ์ แต่ก็มีรายละเอียดขั้นตอนที่ควรทำความเข้าใจก่อน ดังนี้
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการคืนรถให้ไฟแนนซ์
ต้องเข้าใจก่อนว่า ไฟแนนซ์ หรือสถาบันการเงิน คือการให้บริการสินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์ หมายความว่าไฟแนนซ์เป็นฝ่ายให้ผู้ซื้อยืมเงินมาชำระค่ารถแก่ผู้ขายทั้งหมดก่อน แล้วผู้ซื้อค่อยทำการผ่อนชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตามที่ระบุในสัญญาภายในระยะเวลาที่กำหนดกับไฟแนนซ์ ดังนั้น การนำรถยนต์ไปคืนย่อมไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับไฟแนนซ์อย่างที่ต้องการ แต่ผู้ซื้อสามารถทำได้ตามกฎหมาย
2. คืนรถแล้วอาจต้องใช้หนี้ต่อ
เมื่อผู้ซื้อนำรถไปคืนเมื่อผ่อนไม่ไหว ไฟแนนซ์จะนำรถไปขายทอดตลาด โดยส่วนใหญ่ผ่านช่องทางการประมูล และนำเงินส่วนที่ขายได้มาหักลบกับยอดหนี้ของผู้เช่าซื้อที่เหลือ เช่น ไฟแนนซ์นำรถไปขายได้ 200,000 บาท แต่ยอดหนี้ทั้งหมด 300,000 บาท เท่ากับว่าผู้เช่าซื้อจะต้องจ่ายส่วนต่างที่เหลืออีก 100,000 บาท
3. ผู้ค้ำประกันต้องระวังให้ดี
มีบางกรณีที่ผู้ใช้รถนำรถไปคืนให้กับไฟแนนซ์ เมื่อขายทอดตลาดแล้วเกิดส่วนต่างขึ้นกลับไม่รับผิดชอบ จนเวลาผ่านไปมีการติดตามหนี้สินกับผู้ค้ำประกัน สร้างความเดือดร้อนจนทำให้มีการฟ้องร้องเกิดขึ้น แม้จะประนีประนอมได้ในชั้นศาล แต่ผู้ค้ำก็ต้องรับผิดชอบในหนี้ส่วนที่เหลืออยู่ดี
ฉะนั้น ประเด็นสำคัญในการคืนรถให้ไฟแนนซ์คือ แม้จะคืนรถแล้วแต่ก็อาจจะยังมีหนี้สินส่วนต่างที่ต้องเป็นภาระชดใช้ต่อไปอีก จึงกล่าวได้ว่านี่ควรจะเป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับการปลดภาระหนี้สินรถยนต์ ซึ่งก่อนจะมาถึงกระบวนการนี้ อาจจะยังมีทางออกอื่น ๆ ที่ควรพิจารณาก่อนดังต่อไปนี้
วิธีการแก้ปัญหาก่อนตัดสินใจคืนรถให้ไฟแนนซ์
1. ปรึกษากับบริษัทไฟแนนซ์เพื่อปรับโครงสร้างหนี้รถยนต์
กระบวนการนี้คล้ายกับการรีไฟแนนซ์ กล่าวคือเมื่อประสบปัญหาในการผ่อนชำระ ควรติดต่อไฟแนนซ์เพื่อขอขยายระยะเวลา หรือลดยอดในการผ่อนชำระ ซึ่งไฟแนนซ์ย่อมต้องการได้รับผลตอบแทนเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยมากกว่าการได้เป็นรถยนต์คืนอยู่แล้ว ไฟแนนซ์อาจพิจารณาให้ปรับโครงสร้างหนี้เพื่อยืดเวลาออกไปนานกว่าที่ระบุในสัญญาเดิม
2. ขายรถ หรือยกรถให้คนอื่นไปผ่อนต่อ/ ปิดยอด
กรณีที่พิจารณาแล้วว่ายังไงก็ผ่อนรถต่อไม่ไหวจริง ๆ ควรเลือกวิธีขาย หรือยกรถให้ผู้อื่น (ขึ้นอยู่กับค่างวดที่ผ่อนไปแล้วมาก-น้อยเพียงใด) ไม่ว่าจะด้วยการประกาศขายทางแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือช่องทางต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งยกรถให้ฟรี หรือขายดาวน์เพื่อให้ผู้ที่สนใจไปดำเนินการเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อกับไฟแนนซ์ แต่วิธีนี้อาจจะมีขั้นตอนที่ต้องใช้เวลารอให้ไฟแนนซ์อนุมัติเงินกู้ให้กับผู้ซื้อรถรายใหม่ (ยกเว้นซื้อเงินสด) แต่แน่นอนว่านี่คือวิธีที่ทำให้ไม่ต้องแบกภาระในการผ่อนชำระหรือยอดคงค้างกับทางไฟแนนซ์อีก
อย่างไรก็ตาม หากวิธีอื่น ๆ ยังไม่สามารถนำไปสู่ทางออกได้ การคืนรถให้ไฟแนนซ์คงเป็นทางเลือกสุดท้าย ซึ่งมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
วิธีการคืนรถให้ไฟแนนซ์ ให้เสียประโยชน์น้อยที่สุด
1. อย่าผิดนัดชำระโดยเด็ดขาด
โดยส่วนใหญ่ เมื่อมีการทำสัญญาเช่าซื้อกับไฟแนนซ์รถยนต์แล้วผ่อนไม่ไหว ผู้เช่าซื้อหรือผู้ใช้รถบางคนมักเลือกที่จะหยุดส่ง หรือขาดส่งงวดรถ แบบที่เรียกกันว่า ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ติดต่อกันไปเรื่อย ๆ จนเกิน 3 งวด และรอให้ไฟแนนซ์มายึดรถเอง การกระทำเช่นนี้เป็นวิธีที่ไม่แนะนำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เสียเครดิต เกิดการฟ้องร้อง รถที่ยึดได้นำไปขายทอดตลาด เงินที่ได้มาไม่เพียงพอต่อมูลหนี้ตามสัญญา ผู้ใช้รถซึ่งทำผิดสัญญาจะโดนไล่เบี้ยให้รับผิดชอบส่วนต่างที่ยังขาดอยู่ต่อไป
2. เป็นฝ่ายคุยกับไฟแนนซ์ก่อน
ในทางกลับกันจากข้อ 1 หากผู้เช่าซื้อรถยนต์ เป็นฝ่ายติดต่อเพื่อนำรถไปคืนไฟแนนซ์เสียเองก่อนที่จะมีการผิดนัดชำระครบ 3 งวด (ทางที่ดีไม่ควรผิดนัดเลยแม้แต่งวดเดียว) หากไฟแนนซ์ยอมรับรถยนต์คืน ตามกฎหมายจะถือว่าสัญญาเช่าซื้อระงับสิ้นสุดลงเพราะคู่สัญญาสมัครใจเลิกสัญญากันเองด้วยการส่งมอบรถยนต์กลับคืนเจ้าของ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573
ข้อดีของวิธีนี้คือ เมื่อสัญญาเช่าซื้อถูกบอกเลิกโดยที่ผู้ใช้รถไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา หรือไฟแนนซ์ไม่ได้มายึดรถยนต์กลับไปเอง เมื่อเข้าสู่กระบวนการนำรถไปขายทอดตลาด หากมูลค่าที่ขายได้ไม่เพียงพอกับยอดหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ ฝ่ายผู้ใช้รถจะไม่ต้องรับผิดชอบ (แต่ผู้เช่าซื้อต้องไม่มีการเซ็นเอกสารยอมรับภาระหนี้ส่วนต่างใด ๆ ทั้งสิ้น)
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วโอกาสที่ไฟแนนซ์จะยอมรับรถคืนแล้วบอกเลิกสัญญาจบกันไปแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แม้ว่าจะมีกฎหมายคุ้มครองก็ตาม และกล่าวได้ว่าเลยว่าผู้ใช้รถอาจจะต้องเตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล ซึ่งจะกล่าวถึงในข้อต่อ ๆ ไป
3. ตรวจสภาพรถก่อนส่งมอบ
เมื่อตัดสินใจจะคืนรถแล้ว ควรตรวจสภาพรถก่อนส่งมอบ ถ่ายรูปทุกมุมของรถไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นขับรถไปที่บริษัทไฟแนนซ์และเจรจาขอให้บริษัทออกหลักฐานการส่งมอบรถคืน ทำการตกลงเรื่องค่าเสียหายที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมให้เรียบร้อย
4. เตรียมตัวขึ้นศาล
ตามที่กล่าวไว้ในข้างต้นว่าบริษัทไฟแนนซ์ย่อมต้องการเงินคืนมากกว่ารถ เมื่อผู้ใช้รถขอทำเรื่องคืนรถ บริษัทไฟแนนซ์ก็จะนำรถไปดำเนินการขายต่อเพื่อให้ได้เงินคืนมา ซึ่งรถยนต์นั้นถือเป็นสินทรัพย์เสื่อมราคา ดังนั้นจึงมีโอกาสน้อยมากที่จะสามารถขายได้เงินมาสามารถหักลบกลบหนี้ได้
เมื่อจำนวนเงินที่ขายรถไปไม่เพียงพอกับการชำระหนี้ที่เหลืออยู่ ไฟแนนซ์จึงต้องมาไล่เบี้ยเรียกร้องให้ผู้คืนรถชดใช้ส่วนต่างรวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ซึ่งกระบวนการก็อาจจะมาสิ้นสุดในขั้นตอนนี้หากสามารถตกลงจ่ายเงินชดเชยกันได้ แต่หากไม่เป็นไปตามนั้น ขั้นตอนต่อไปก็จะไปถึงการฟ้องร้องต่อศาล
อย่างไรก็ตาม ต้องบอกไว้ก่อนว่าการต้องขึ้นศาลในกระบวนการนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และถือเป็นขั้นตอนปกติ ซึ่งศาลจะให้ความยุติธรรมในการไกล่เกลี่ยค่าเสียหายให้คู่กรณีพอใจมากที่สุดในการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573
การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ขอคืนรถให้ไฟแนนซ์นั้น แม้จะเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ แต่ก็คงไม่ใช่สิ่งที่ใครจะอยากให้เกิดขึ้น ดังนั้นหากย้อนกลับมาถึงช่วงเวลาก่อนตัดสินใจซื้อรถควรคิดถึงสภาพคล่องทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ล่วงหน้าไปอีก 5 ปีด้วย และในกรณีที่ผ่อนไม่ไหวต้องบอกเลิกคืนรถจริง ๆ ก็ควรดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ให้ถูกต้องเพื่อที่จะเกิดการเสียประโยชน์ให้น้อยที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก aommoney, closelawyer, moneyhub