การเลือกประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจปัจจุบันค่อนข้างหลากหลาย ทั้งประเภทของประกันภัยรถยนต์และความคุ้มครองหากแตกต่างกัน ดังนั้นนอกเหนือจากการเลือกประเภท เบี้ยประกันภัยและบริษัทประกันภัยแล้ว ส่วนที่สำคัญสุด ๆ คือรายละเอียดกรมธรรม์หรือเงื่อนไขความคุ้มครองคือสิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนตัดสินใจเลือกประกันภัยรถยนต์แบบไหนก็ตาม
ปัจจุบันรถยนต์ถือว่ามีบทบาทในการใช้ชีวิตมากเพราะเป็นพาหนะที่ช่วยให้การเดินทางไปไหนต่อไหนสะดวกสบายขึ้น หลายคนจึงตัดสินใจที่จะมีรถยนต์ไว้ใช้งาน ซึ่งเมื่อมีรถเพิ่มขึ้น ใช้มากขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่จะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุ
ดังนั้นเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายและความวุ่นวายในส่วนนี้ การเลือกทำ ประกันรถยนต์ หรือ ประกันภัยภาคสมัครใจนอกเหนือจาก พ.ร.บ. จึงค่อนข้างจำเป็นอย่างมาก แต่หลายคนก็ยังไม่รู้ว่าจะเลือกประกันภัยอย่างไรให้คุ้มค่าหรือเหมาะสมกับการใช้งาน ซึ่งปัจจุบันค่อนข้างมีหลากหลายกว่าในอดีตและนี่คือคำแนะนำเบื้องต้นว่าควรเลือกประกันภัยรถยนต์อย่างไรให้เหมาะสม คุ้มค่าตรง ความต้องการมากที่สุด
1. เลือกประเภทของประกันรถยนต์ให้ตรงกับความต้องการ
คุ้มครองความเสียหายครอบคลุมมากที่สุด ทั้งรถยนต์ของเรา คู่กรณี คุ้มครองบุคคลภายในรถ+นอกรถและความเสียหายของทรัพย์สินที่เกิดจากอุบัติเหตุ รวมไปถึงความเสียหายอื่น ๆ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วมและโดนขโมย (ตามเงื่อนไขและวงเงินของกรมธรรม์) แต่เบี้ยประกันก็ค่อนข้างสูงเช่นกัน
ลักษณะความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 แต่จะเป็นลักษณะรถชนกับรถ ส่วนรายละเอียดเงื่อนไขกรมธรรม์แต่ละประกันภัยอาจแตกต่างกัน
ความคุ้มครองจะคล้ายกับประกันชั้น 2+ แต่จะซ่อมเฉพาะรถคู่กรณีหากเราเป็นฝ่ายผิดและคุ้มครองกรณีรถสูญหายหรือไฟไหม้ด้วย ปัจจุบันอาจไม่ค่อยนิยมแล้วและมักเลือกประกันชั้น 2+ แทน
คล้ายประกันชั้น 2+ แต่ไม่คุ้มครองกรณีรถสูญหายหรือไฟไหม้ (ปัจจุบันประกันภัยบางรายมีเพิ่มความคุ้มครองในส่วนนี้ แต่ทุนประกันอาจไม่สูงนัก)
ประกันภาคสมัครใจที่มีค่าใช้จ่ายถูกสุด ความคุ้มครองต่ำสุด หลัก ๆ คือคุ้มครองเฉพาะรถคู่กรณี แต่ไม่คุ้มครองรถที่เอาประกันภัย คือพูดง่าย ๆ ว่า ซ่อมเขา ไม่ซ่อมเรา
2. ต้องเปรียบเทียบและศึกษารายละเอียดในกรมธรรม์
นี่คือส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะเลือกทำประกันภัยภาคสมัครใจประเภทไหน ควรต้องดูรายละเอียดกรมธรรม์ หมายถึงเงื่อนไข วงเงินและขอบเขตของความคุ้มครองด้านต่าง ๆ ว่ามากน้อยอย่างไร อย่าดูแค่เบี้ยประกันอย่างเดียว เพราะปัจจุบันมีการนำเสนอทางเลือกมากมายให้กับประกันแต่ละประเภท (คล้าย ๆ กับโปรโมชั่นมือถือเลย มี Top-up เสริมนู่น นี่ นั่น) ซึ่งรายละเอียดแต่ละกรมธรรม์มีการคุ้มครองต่างกันหลายรูปแบบ เช่น ประกันชั้น 3 บริษัท A อาจคุ้มครองต่างจากบริษัท B
ทั้งนี้บริษัทประกันอาจกำหนดวงเงินความคุ้มครองแต่ละส่วนไม่เท่ากัน (เพื่อให้เบี้ยประกันถูก) หรือแม้แต่จำนวนผู้โดยสารที่คุ้มครองก็จะมีระบุไว้และไม่ได้หมายความว่าทุกคนในรถคันที่เอาประกันจะได้รับความคุ้มครองเสมอไป หากจำนวนคนนั่งเกินกว่าที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ เป็นต้น
ดังนั้นหากความเสียหายในส่วนต่าง ๆ ที่เกินวงเงินประกัน ผู้เอาประกันจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ (กรณีเป็นฝ่ายผิด) เพราะฉะนั้นการศึกษาและอ่านรายละเอียดกรมธรรม์จึงสำคัญที่สุดสำหรับการตัดสินใจหรือแม้แต่เลือกแล้วตาม เป็นเหมือนข้อตกลงระหว่างเรากับบริษัทประกันภัยในการชดใช้ค่าเสียหาย
3. เบี้ยประกันภัยรถยนต์
เบี้ยประกันภัยรถยนต์ หมายถึงเงินที่ผู้ทำประกันภาคสมัครใจจะต้องจ่ายให้กับบริษัทประกันภัยเพื่อแลกกับความคุ้มครองตามกรมธรรม์เป็นรายปี ส่วนเบี้ยจะถูกหรือแพงมักจะขึ้นอยู่กับประเภทของประกันภัยและความคุ้มครอง (รายละเอียดกรมธรรม์จึงสำคัญและมีผลต่อเบี้ยประกัน)
ทั้งนี้หลายคนอาจให้ความสำคัญกับเบี้ยประกันที่ถูกสุดอย่างเดียว แต่เบี้ยประกันราคาถูกสุดจึงอาจไม่ใช่คำตอบหรือเป็นสิ่งที่คุณต้องการเสมอไป นอกจากเปรียบเทียบราคาแล้วควรเปรียบเทียบความคุ้มครองในส่วนต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจด้วย
4. การเลือกบริษัทประกันภัยรถยนต์
การเลือกทำ ประกันภัยรถยนต์ ควรพิจารณาบริษัทประกันที่น่าเชื่อถือของบริษัทประกันภัยนั้น ๆ การให้บริการโดยรวม ความยุ่งยาก ระยะเวลา ไปจนถึงอู่ซ่อมในเครือ (บางประกันภัยอู่ในเครืออยู่ไกลก็ไม่สะดวก) ส่วนการใช้โบรกเกอร์หรือตัวแทนขายประกัน ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเสมอไป (ประกันภัยมักให้ติดต่อผ่านตัวแทนเป็นหลัก) ซึ่งก็จะสะดวกในการนำเสนอบริษัทประกันภัยมาเสนอเปรียบเทียบตามที่ต้องการ รวมถึงให้คำแนะนำได้
อย่าให้เบี้ยประกันเป็นเงื่อนไขในการตัดสินใจเพียงข้อเดียว ควรเปรียบเทียบรายละเอียดในกรมธรรม์ด้วยเพราะสำคัญมากและมักมีผลกับเบี้ยประกันภัย อีกทั้งการใช้โบรกเกอร์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวถ้าคุณเลือกเป็น แม้อาจจะจ่ายแพงกว่า (ในบางกรณี) แต่สะดวกสบายมาก ถ้าโบรกเกอร์ที่ดีจะช่วยแนะนำให้คำปรึกษาได้อีกด้วย