ทั้งนี้แบตเตอรี่แบบ Solid State จะให้พลังงานที่หนาแน่น (ความจุมากขึ้น) ด้วยขนาดที่เล็กลงและชาร์จไฟได้รวดเร็วกว่าแบตเตอรี่แบบ Lithium-ion ส่งผลให้รถไฟฟ้า (BEV) จะวิ่งได้ระยะทางเพิ่มขึ้นรวมถึงใช้เวลาในชาร์จไฟน้อยลง อีกทั้งยังมีอายุการใช้งาน (Life cycles) ได้นานกว่าด้วย เนื่องจาก Solid State เป็นแบตเตอรี่ที่มี electrolyte แบบแข็งไม่ใช่ของเหลวเหมือน Lithium-ion ทำให้แพ็กแบตเตอรี่มีขนาดเล็กลงรวมถึงความหนาแน่นก็มีมากกว่าของเหลว นอกจากนี้โอกาสที่จะเกิดการระเบิดจากการลัดวงจรต่ำกว่าแบตเตอรี่ Lithium-ion มาก จึงไม่จำเป็นต้องถูกห่อหุ้มด้วยวัสดุที่มีความแข็งแรงอย่างโลหะก็ได้ นั่นหมายความว่าผู้ผลิตรถยนต์สามารถออกแบบให้แบตเตอรี่แบบ Solid State ได้อิสระหลากหลายรูปทรงกว่าซึ่งเอื้อต่อการดีไซน์และประหยัดพื้นที่อีกด้วย
แต่ยอมรับว่ามีการอยู่ในขั้นตอนของการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำมาใช้ในอนาคตซึ่งเหมาะสมและใกล้เป็นความจริงแล้ว ซึ่งการที่ Toyota มีแบตเตอรี่หลายรูปแบบอยู่ในมือย่อมทำให้มีศักยภาพทางเทคโนโลยีสูงขึ้น อีกทั้งการแข่งขันของแบตเตอรี่แบบเหลวในปัจจุบันก็ยังไม่ได้ถูกพัฒนาไปจนถึงขีดสุดเลย ส่วนแบตเตอรี่แบบ Solid State ยังคงต้องมีการทดสอบประสิทธิภาพในการใช้งานจริงเพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะสมไม่ใช่แค่ในแง่ของหลักการหรือในห้องทดลองเท่านั้น
สุดท้ายแล้วเราน่าจะได้เห็นรถไฟฟ้า (BEV) จาก Toyota ในปี 2020 หรืออีก 3 ปี ข้างหน้า ซึ่งระบุว่าจะวิ่งได้ระยะทางไกลประมาณ 300 กม. ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง และคาดว่ารถคันดังกล่าวจะยังคงใช้แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion ไปก่อน ส่วนแบตเตอรี่ Solid State ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าอาจตามออกมาในภายหลัง โดยคาดกันว่าจะถูกเปิดตัวในปี 2022