
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้จัดกิจกรรม BMW Driving Experience 2016 นำสื่อมวลชนไปร่วมสัมผัสกับประสบการณ์การขับขี่ของรถ BMW ซึ่งน่าจะเรียกได้ว่าเป็นแบรนด์พรีเมียมที่มีความสปอร์ตอยู่ในตัวชัดเจนมากจนกลายเป็นความโดดเด่นที่รถในยุคปัจจุบันต่างพากันพยายามจะสปอร์ตเพื่อใช้เป็นจุดขาย (อย่างน้อยก็ต้องมีคำว่าสปอร์ต) และครั้งนี้ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้สัมผัสกับความสปอร์ตในแบบ BMW กันว่าเป็นอย่างไร


สำหรับกิจกรรม BMW Driving Experience 2016 ทางบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้นำรถมาให้สัมผัสกับประสบการณ์การขับขี่กันบนสนามปทุมธานี สปีด เวย์ กันหลายรุ่นที่คุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็น BMW 118i M Sport, BMW 320d Luxury, BMW 320d Sport, BMW 525d M Sport และ BMW 330e M Sport โดยรายละเอียดแบ่งออกเป็นตามรุ่นคร่าว ๆ ดังนี้

BMW 118i M Sport
ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 20 กม./ลิตร ปล่อย CO2 118 กรัม/กม. (ตัวเลขจากผู้ผลิต) พร้อมกับชุดแต่ง M Sport ประกอบด้วยล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว สี Ferric Grey Metallic แอโรพาร์ท M Aerodynamic และคิ้วขอบหน้าต่างสีดำเงา เป็นต้น

BMW 320d Luxury และ BMW 320d Sport
เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีด ใหม่ ช่วยประหยัดน้ำมันได้สูงสุด 27 กม./ลิตร ปล่อย CO2 เพียง 99 กรัม/กม. (ตัวเลขจากผู้ผลิต)

BMW 525d M Sport
เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้า อัตราสิ้นเปลือง 17.9 ลิตร/กม. ปล่อย CO2 149 กรัม/กม. พร้อมเทคโนโลยี EfficientDynamics ที่มีระบบชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่จากการเบรก (ลดภาระของไดชาร์จที่ต้องดึงกำลังจากเครื่องยนต์) ระบบ Automatic Start/Stop ร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronic

BMW 330e M Sport (Plug-in Hybrid)
ขุมพลังแบบ Plug-in Hybrid หรือที่ BMW เรียกว่า iPerformance นั้นจะประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ ให้กำลัง 184 แรงม้า ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ช่วยเพิ่มกำลังให้อีก 88 แรงม้า (แต่เมื่อทำงานร่วมกันจะมีพละกำลังรวม 252 แรงม้า) โดยขับขี่ในโหมดไฟฟ้าล้วนได้ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 120 กม./ชม. และมีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 6.1 วินาที อัตราสิ้นเปลืองแบบเฉลี่ยอยู่ที่ 41.7 กม./ลิตร และปล่อย CO2 เพียง 57 กรัม/กม. เท่านั้น
ส่วนระบบ iPerformance ใน BMW 330e M Sport นั้นสามารถชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ด้วยไฟบ้านผ่านสายชาร์จจนเต็มจะใช้เวลาเร็วสุดอยู่ที่ประมาณ 3 ชม. แต่ถ้าชาร์จผ่านอุปกรณ์ BMW I Wallbox Pure จะลดระยะเวลาเหลือเพียง 2 ชั่วโมง 12 นาทีเท่านั้น แต่ราคาอุปกรณ์ตัวนี้ค่อนข้างสูงพอสมควรซึ่งสายชาร์จแบบแรกดูจะคุ้มค่ากว่า

มาถึงช่วงการทดสอบในกิจกรรม BMW Driving Experience 2016 ซึ่งมีเวลาจำกัดเมื่อเทียบกับจำนวนสื่อที่มากันเยอะพอสมควรรวมถึงการทดสอบยังมีหลายจุดเพื่อทดสอบการบังคับควบคุมที่มีระบบช่วยเหลือ DSC (Dynamic Stability Control) และสมรรถนะในด้านอัตราเร่ง ซึ่งแบ่งออกได้ดังนี้
จุดที่ 1 สลาลมผ่านไพลอน
จุดที่ 2 ดับเบิลเซอร์เคิล (ขับวนเป็นเลข 8)
จุดที่ 3 ขับวนเป็นวงกลม
จุดที่ 4 อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.
จุดที่ 5 การหักหลบแบบกะทันหัน (ที่ความเร็ว 40 กม./ชม.)
โดยทีมงานกระปุก คาร์ ได้มีโอกาสสัมผัสกับรถ BMW ในสนาม 2 รุ่น ได้แก่ BMW 320d Luxury และ BMW 118i M Sport ซึ่งจากการที่ได้สัมผัสรถทั้ง 2 รถที่ผ่านจุดสอบที่ 1-3 นั้นค่อนข้างมีการบังคับควบคุมที่ไม่ต่างกันมากนักคือ พวงมาลัยคล่องแคล่ว ว่องไว ผ่านไพลอนแบบสลาลมที่ความเร็วประมาณ 40 กม./ชม. แบบสบาย ๆ ตัวรถมีอาการเอียงตัวหรือโคลงเพียงเล็กน้อย ช่วงล่างนุ่มกระชับและแน่นพอประมาณ


พอมาถึงจุดที่ 2 ดับเบิลเซอร์เคิลและ 3 ขับวนเป็นวงกลม เป็นการทดสอบระบบควบคุมเสถียรภาพแบบไดนามิก หรือ DSC (Dynamic Stability Control) ที่เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้คุณเพลิดเพลินสนุกสนานกับการขับขี่ได้อย่างปลอดภัยเมื่อล้อหนึ่งล้อใดของรถเกิดการลื่นไถล ซึ่งจะเข้ามาช่วยแก้ไขอาการเพียงเสี้ยววินาทีให้อยู่ในการบังคับควบคุม (เป็นวงกลม) ได้อีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามระบบช่วยเหลืออย่าง DSC ย่อมมีขีดจำกัด ผู้ขับขี่จำเป็นต้องใช้ความเร็วที่เหมาะสมบนถนนด้วยเช่นกัน


หลังจากจุดทดสอบที่ 2 และ 3 ต้องขับผ่านโค้งของสนามมายังจุดที่ 4 ซึ่งต้องหยุดเพื่อทดสอบอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. และจากการกะประมาณเอาคร่าว ๆ โดยไม่ได้ใช้นาฬิกาจับเวลาเนื่องจากในรถทดสอบมีผู้ขับขี่เพียงคนเดียวเท่านั้น BMW 320d Luxury ทำอัตราเร่งได้อยู่ราว ๆ 7-8 วินาที เกียร์ Steptronic 8 สปีด ตอบสนองต่อเนื่องราบรื่น ในขณะที่ BMW 118i M Sport ก็ช้ากว่าเพียงเล็กน้อยที่ประมาณ 9-10 วินาที ซึ่งในการใช้งานจริงตัวเลขระดับวินาทีคงไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก
ในด้านสมรรถนะทั้ง BMW 320d Luxury และ BMW 118i M Sport นับว่าจัดจ้านพอตัว โดยเฉพาะ BMW 118i ที่ใช้เครื่องขนาดเล็กความจุเพียง 1.5 ลิตรเท่านั้น ส่วน BMW 320d เครื่องยนต์ดีเซลก็เดินเรียบ นิ่งเงียบและปราดเปรียวมากคุณอาจไม่รู้สึกเลยว่านี่เป็นเครื่องยนต์ดีเซลหากไม่สังเกตตัวอักษร D ท้ายรถหรือมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ที่มักจะมีเรดไลน์ต่ำกว่าเครื่องเบนซิน


เลยจุดที่ 4 ที่ได้สัมผัสในเรื่องอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. แล้วก็จะวิ่งผ่านโค้งตามสนามมาถึงจุดสุดท้ายจุดที่ 5 ซึ่งจะมีลักษณะเป็นตัว T คือต้องแยกออกไปทางซ้ายหรือขวา ตรงจุดนี้จะมีอินสตรักเตอร์คอยโบกธงในระยะกระชั้นชิดว่าให้หักเลี้ยวไปทางไหน ซึ่งเป็นการจำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อต้องมีการหักเลี้ยวแบบกะทันหันเพื่อดูการบังคับควบคุมของรถ BMW ด้วยความเร็วจำกัดที่ 40 กม./ชม. โดยทั้ง 320d Luxury และ 118i ขับผ่านไปได้อย่างมั่นใจ ควบคุมง่าย และรถมีอาการโคลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรียกได้ว่าผ่านแบบสบาย ๆ ไม่เครียด (หากไม่ตกใจเองเสียก่อนเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์จริง)

สรุปกิจกรรม BMW Driving Experience 2016
จากการที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับ BMW 320d Luxury และ BMW 118i M Sport ความเห็นส่วนตัวในฐานะที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ ต้องยอมรับว่ารถจาก BMW ทั้ง 2 รุ่น เป็นรถที่มีสมรรถนะจัดจ้านซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้มีการขับขี่ที่สนุกสนานโดยเฉพาะ BMW 118i M Sport เป็นรถที่เบา คล่องและว่องไวทั้งที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กแต่ให้การตอบสนองดีเช่นเดียวกับเครื่องยนต์ดีเซลใน BMW 320d Luxury ที่ทำงานได้เงียบเชียบและราบเรียบมาก

ในขณะที่การบังคับควบคุม (Handling) ซึ่งเป็นจุดเด่นของ BMW นั้นก็ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย พวงมาลัยเฉียบคม ช่วงล่างแน่นกระชับให้ความรู้สึกสปอร์ต แต่ที่เพิ่มเติมที่รู้สึกคือคุณภาพการขับขี่ (Ride Quality) ใน BMW รุ่นใหม่ ๆ เหมือนจะมีมากขึ้นด้วยเช่นกัน
BMW นับว่าเป็นรถที่มีความสปอร์ต (หรือรถที่ขับได้สนุก) มาตั้งแต่แนวคิดและการออกแบบจึงทำให้มีการขับขี่ที่โดดเด่นจนแทบจะกลายเป็นบรรทัดฐานของรถยนต์หลายรุ่นในปัจจุบันที่ต้องใส่คำว่าสปอร์ตเพื่อเป็นจุดขายไปแล้วทั้งที่เราคิดว่ามันไม่จำเป็นเสมอไปหากมันไม่ใช่ความสปอร์ตที่แท้จริง

















































