โอนลอยรถยนต์อาจสะดวกแต่แฝงด้วยความเสี่ยง และ 5 สิ่งที่คุณต้องระวังก่อนทำสัญญาโอนลอย ทั้งผู้ซื้อ-ผู้ขาย ป้องกันปัญหาโดนฟ้องหรือรับผิดชอบภายหลัง การ "โอนลอย" คือรูปแบบการซื้อ-ขายรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ที่ได้รับความนิยมในการซื้อรถมือสอง เนื่องจากสะดวกทั้งผู้ซื้อ-ผู้ขาย โดยผู้ขาย (หรือผู้ซื้อ) จะเตรียมและเซ็นเอกสารชุดโอนและมอบอำนาจให้ผู้ซื้อไปดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่กรมการขนส่งทางบกด้วยตนเอง ซึ่งทำให้ผู้ขายได้รับเงินทันที ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปโอน ผู้ซื้อสามารถนำรถกลับได้เลย แต่ถึงแม้จะดูง่าย ประหยัดเวลา และทำอย่างแพร่หลายกลายเป็นเรื่องปกติ แต่ความจริงแล้วการโอนลอยก็มี "ความเสี่ยง" ต่อผู้ซื้อและผู้ขายที่ต้องระวัง เพราะอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและภาระความรับผิดชอบที่ไม่คาดคิดได้ เราจะมาเจาะลึก 5 สิ่งที่คุณต้องระวังในการโอนลอยรถยนต์ เพื่อช่วยให้การซื้อ-ขายเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยที่สุด ตราบใดที่ยังไม่มีการโอนเสร็จสิ้นตามกฎหมาย ชื่อในเล่มทะเบียนรถก็ยังคงเป็นชื่อของผู้ขายอยู่ หากผู้ซื้อนำรถไปก่อเหตุหรือกระทำความผิด เจ้าของรถตามทะเบียนจะต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ใบสั่งจราจรและค่าปรับ ซึ่งอาจต้องเสียเวลาไปชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ การก่ออาชญากรรม เช่น ชนแล้วหนี ขนยาเสพติด หรือปล้นจี้ ตำรวจจะติดตามตัวจากข้อมูลเจ้าของรถตามทะเบียน ไม่ยอมต่อภาษีประจำปี เจ้าของรถเดิมก็ยังต้องรับผิดชอบค่าปรับที่เกิดขึ้น ทางด้านผู้ซื้อ การใช้วิธีโอนลอยก็มีความเสี่ยง ถ้าไม่ได้ตรวจสอบประวัติรถอย่างละเอียดก่อนการโอน เช่น รถถูกขโมยมา รถดัดแปลง หรือนำเข้าอย่างไม่ถูกต้อง เช่น ผู้ขายบางรายอาจใช้เอกสารปลอมในการทำธุรกรรม ทำให้ไม่สามารถโอนรถได้ รถติดไฟแนนซ์ที่ผู้ขายยังผ่อนไม่หมด คุณอาจถูกยึดรถคืน โอนไม่ได้เนื่องจากรถมีปัญหา เช่น เลขเครื่อง-เลขตัวถังไม่ตรง นำเข้าอย่างไม่ถูกต้อง แม้การโอนลอยจะสะดวกทั้งสองฝ่าย แต่หากเอกสารไม่ครบถ้วนหรือไม่สมบูรณ์ก็ไม่สามารถโอนได้ โดยเฉพาะเอกสารสำคัญ เช่น "แบบคำขอโอนและรับโอน" รวมถึง "หนังสือมอบอำนาจ" ต้องมีลายเซ็นครบถ้วน เล่มทะเบียนต้องมีลายเซ็นเจ้าของรถ หากขาดไปหรือผิดพลาดก็ไม่สามารถโอนได้ และต้องเสียเวลาตามหาผู้ขายเพื่อแก้ไขเอกสาร หากตกลงซื้อ-ขายด้วยการโอนลอย ถ้าผู้ซื้อซื้อไปแล้วไม่ไปโอนกรรมสิทธิ์และไม่ต่อทะเบียน ตามกฎหมายถือว่าผู้ที่ยังมีชื่อในเล่มทะเบียนจะต้องรับผิดชอบ แม้จะไม่เกิดขึ้นบ่อยแต่อาจเกิดขึ้นได้ หรือแม้กระทั่งผู้ซื้อไม่โอน ไม่ต่อทะเบียนจนทะเบียนขาดเกินกำหนด 3 ปี เช่น กรณีรถพังแล้วไม่ซ่อม เลิกใช้งาน ทางกรมการขนส่งทางบกจะแจ้งให้เจ้าของรถคืนทะเบียนพร้อมชำระภาษีรวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทั้งหมด หรือในทางกลับกัน ถ้าผู้ซื้อปล่อยทะเบียนขาดเกิน 3 ปี และติดต่อเจ้าของเดิมไม่ได้ ก็ไม่สามารถจดทะเบียนใหม่ได้เช่นกัน ตามกฎหมายการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วัน นับจากวันที่มีการซื้อ-ขาย หากเกินกำหนดจะมีการปรับ แต่ในกรณีการโอนลอยส่วนมากมักมีการเซ็นเอกสารไว้ก่อนโดยยังไม่ได้กรอกชื่อผู้รับโอน แต่หากบัตรประชาชนผู้ขายหมดอายุจะทำให้ผู้ซื้อต้องกลับไปตามหาผู้ขายเพื่อขอเอกสารใหม่อีกครั้ง จริงอยู่ว่าการโอนลอยเป็นทางเลือกที่สะดวกและบางครั้งเราไม่มีโอกาสเลือกได้มากนัก เนื่องจากการโอนลักษณะนี้ทำกันโดยทั่วไป แต่ต้องเข้าใจว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าการโอนกรรมสิทธิ์ ณ กรมการขนส่งทางบก พร้อมกันทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเสมอ ดังนั้น การนัดหมายไปดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่กรมการขนส่งทางบกด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพื่อให้การซื้อ-ขายเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในครั้งเดียวและไม่มีภาระผูกพันใด ๆ เหลืออยู่จึงเป็นการโอนที่ดีที่สุด ใบคู่มือจดทะเบียนรถ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน กรณีเป็นนิติบุคคลใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม สัญญาซื้อ-ขาย หรือใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษี สำเนาใบมรณบัตรเจ้าของรถ และคำสั่งศาลหรือพินัยกรรมพร้อมสำเนา (กรณีโอนรับมรดก) แบบคำขอโอนและรับโอน กรอกรายการและลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอนเรียนร้อยแล้ว หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบ กรณีผู้โอนและ/หรือผู้รับโอนมิได้มาดำเนินการด้วยตัวเอง นำรถเข้ารับการตรวจสอบที่งานตรวจสภาพรถยนต์ (ยกเว้นกรณีโอนปิดบัญชีจากผู้ให้เช่าซื้อไปยังผู้เช่าซื้อ ซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถตามรายการจดทะเบียน ไม่ต้องตรวจสอบรถ) ยื่นเรื่องโอนกรรมสิทธิ์และชำระค่าธรรมเนียมที่งานทะเบียนรถ รับใบคู่มือจดทะเบียนรถคืน รับใบเสร็จ ใบคู่มือจดทะเบียนรถ เครื่องหมายการเสียภาษี และแผ่นป้ายทะเบียนรถ อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นต้องใช้วิธีโอนลอยจริง ๆ ควรทำ สัญญาซื้อ-ขายรถยนต์ ที่ระบุรายละเอียดชัดเจน พร้อมเก็บสำเนาเอกสารสำคัญทั้งหมดไว้เป็นหลักฐานเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมาในอนาคต ค้างชำระใบสั่ง ตรวจสอบใบสั่งค้างชำระต้องทำยังไงบ้าง รู้จักกับหมวกกันน็อก ไอเทมประจำตัวของเหล่านักบิด แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร ? ต่อใบขับขี่หมดอายุต้องทำยังไง ขาดได้ไม่เกินกี่ปี ขอบคุณข้อมูลจาก : dlt.go.th
แสดงความคิดเห็น