รู้จักรถกันบ้าง กรองอากาศกรองน้ำมัน (หนังสือยานยนต์)
เชื่อว่ายังมีเจ้าของอีกจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ค่อยจะได้สนใจหรือใส่ใจกับเจ้าตัวกรองอากาศมากเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่ตัวกรองอากาศนั้นจะมีผลต่อประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ และมีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
เครื่องยนต์ที่ใช้งานกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเบนชินหรือดีเซลก็ตาม การเผาไหม้จำเป็นต้องอาศัยออกซิเจนเข้าไปผสมกับเชื้อเพลิง จึงจะสามารถจุดระเบิดได้ สำหรับออกซิเจนที่ได้นี้ก็มาจากอากาศทั่วไปนี่แหละซึ่งได้มาฟรีไม่ต้องซื้อหากัน แต่อากาศที่มีอยู่โดยเฉพาะตามท้องถนน จะมีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อป้องกันฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกถูกดูดเข้าไปในเครื่องยนต์ จึงจำเป็นต้องมีหม้อกรองอากาศมาคอยดักเอาไว้ก่อน
ตัวกรองอากาศมีหน้าที่และความสำคัญมากยิ่งนัก ชนิดที่หากไม่มีแล้วสามารถทำให้เครื่องยนต์อายุสั้นอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
สำหรับรถยนต์หม้อกรองอากาศแม้จะดูธรรมดา แต่ความจริงเป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่จำเป็นต้องติดตั้งหม้อกรองอากาศเอาไว้ก่อนท่อร่วมไอดี หรือก่อนคาร์บูเรเตอร์ในรถรุ่นเก่า เพื่อให้ทำหน้าที่ดักกรองเอาฝุ่นละออง และสิ่งสกปรกที่ปะปนอยู่ในอากาศไว้ ทำให้อากาศที่เข้าไปในเครื่องยนต์หรือผ่านคาร์บูเรเตอร์ ปราศจากฝุ่นละอองและสิ่งสกปรก
ถ้าหากไม่มีเจ้าตัวกรองอากาศซะแล้ว ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกก็สามารถปะปนเข้าไปในเครื่องยนต์ได้คราวนี้ก็เกิดผลอยู่หลายประการ
ทำให้เครื่องยนต์มีอายุสั้น
พวกฝุ่นละอองที่ลอยปะปนอยู่ในอากาศ ส่วนหนึ่งจะเป็นฝุ่นผงหรือเม็ดทรายละเอียดที่มีความแข็ง เมื่อหลุดเข้าไปในห้องเผาไหม้ ก็จะไปเกาะอยู่ตามร่องแหวนและผนังกระบอกสูบ ส่วนที่เป็นผงสกปรกอย่างพวกคราบเขม่าหรือคาร์บอน ก็จะทำให้น้ำมันเครื่องดำและสกปรกเร็วขึ้น น้ำมันเครื่องจะเสื่อมคุณภาพเร็วกว่าปกติ ทำให้ขึ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ที่มีน้ำมันหล่อลื่นเกิดการสึกหรอมากขึ้น โดยเฉพาะฝุ่นละอองที่เกาะอยู่ตามแหวนลูกสูบและผนังกระบอกสูบ ก็เปรียบเสมือนผงทรายที่จะขัดถูทำให้แหวนและกระบอกสูบสึกหรอเร็วขึ้น อย่างปกติรถสามารถใช้งานได้หลายแสนกิโลเมตรกว่าเครื่องจะหลวม แต่ถ้าไม่ใส่ไส้กรองอากาศวิ่ง ประมาณห้าหมื่นกิโลเครื่องก็เริ่มหลวมต้องยกเครื่องกันแล้ว
การทำงานของเครื่องยนต์มีปัญหา
พวกรถรุ่นเก่าที่ใช้คาร์บูเรเตอร์เป็นตัวจ่ายเชื้อเพลิง หากไม่มีไส้กรองอากาศ หรือใช้ไส้กรองอากาศที่ไม่มีคุณภาพพอ ทำให้ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกเข้าไปในตัวคาร์บูเรเตอร์ ก็จะเกิดการอุดตันของท่อทางเดินอากาศในคาร์บูเรเตอร์ มีผลกับการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สมบูรณ์ ก็เกิดปัญหากับการทำงานของเครื่องยนต์ เช่น เบาดับ เร่งไม่ขึ้น หรือมีอาการกระตุก
ส่วนรถรุ่นใหม่ที่ใช้ระบบหัวฉีด พวกสิ่งสกปรกที่ผ่านเข้าไปกับอากาศเข้าเครื่องยนต์ จะไปเกาะกับตัววัดปริมาณอากาศทำให้เกิดสกปรกการให้ข้อมูลจึงผิดพลาด การสั่งจ่ายน้ำมันก็ไม่ถูกต้องกับความเป็นจริงประสิทธิภาพเครื่องยนต์ก็มีปัญหาแถมอัตราสิ้นเปลืองก็จะเพิ่มขึ้นด้วย หรือไปเกาะที่เซ็นเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อ ทำให้สกปรก การทำงานของลิ้นปีก จึงไม่ถูกต้องเหมาะสม มีปัญหากับการทำงานของเครื่องยนต์ และที่เกิดผลมากที่สุดคือสิ่งสกปรกที่ติดมากับอากาศ จะเข้าไปเกาะอยู่ที่ตัว ISC ควบคุมรอบเดินเบา การทำงานจึงติดขัดมีปัญหากับรอบเดินเบา หรือเกิดการกัดกร่อนตัว ISC ทำให้ชำรุดเสียหาย
หน้าที่ของไส้กรองอากาศอีกประการ คือลดเสียงการดูดอากาศของเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์มีการทำงานที่เงียบขึ้นไม่รบกวนผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ควบดูแลรักษากันบ้างไส้กรองอากาศก็ต้องดูมีการดูแลรักษากันบ้าง มิฉะนั้นก็จะเกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์ได้มากเลย
ตามปกติเครื่องยนต์ที่ใช้กับรถต้องการอากาศเพื่อใช้ในการเผาไหม้ ภายในกระบอกสูบเป็นจำนวนไม่น้อยเลย โดยทั่วไปก็ประมาณนาทีละ 100 ถึง 290 ลบ.ฟุต ดังนั้นไส้กรองอากาศ จึงถือว่ามีความจำเป็น ในการสกัดกั้นฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกที่ปะปนมากับอากาศเอาไว้ ไม่ให้ผ่านเข้าไปในเครื่องยนต์ ดังนั้นเมื่อใช้ไปนานเข้าที่ไส้กรองอากาศจะมีฝุ่นละอองสิ่งสกปรกอัดติดอยู่อย่างมากมาย ทำให้เกิดการอุดตันจนกระทั่งอากาศไม่สามารถผ่านเข้าไปได้สะดวกและมีปริมาณน้อยเท่าที่ควร จึงจำเป็นต้องนำไส้กรองอากาศมาทำความสะอาด หรือเปลี่ยนไส้กรองอากาศอันใหม่ เพื่อให้อากาศสามารถผ่านเข้าไปในห้องเผาไหม้ได้สะดวกกรวดเร็วและมีปริมาณมาก ซึ่งจะมีผลต่อประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงด้วย หากเราปล่อยให้ไส้กรองสกปรกประกอบไปด้วยฝุ่นละอองสิ่งสกปรกติดอยู่ที่กระดาษกรอง สิ่งสกปรกจะถูกดูและดันเข้าไปตามรูขงกระดาษกรองเรื่อย ๆ จนกระทั่งอาจทะลุไปอีกด้านหนึ่งของกระดาษกรอง แล้วหลุดเข้าไปก่อความเสียหายให้กับขึ้นส่วนของเครื่องยนต์
ปกติเราควรทำความสะอาดไส้กรองอากาศประมาณ 2,000-5,000 กม.ต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานที่ใช้งานว่าอากาศมีฝุ่นละอองหรือสกปรกมากน้อยขนาดไหน และการใช้งานเป็นอย่างไร หากใช้งานในเมือง 2,000-3,000 กม. ก็สมควรถอดออกมาทำความสะอาดแล้ว แต่ถ้าเป็นการเดินทางในเส้นทางที่ไม่มีฝุ่นมากมายนัก ระยะทางอาจยืดเป็น 5,000 กม. ค่อยทำความสะอาดก็ได้ อย่างไรก็ตามให้ดูจากคู่มือประจำรถเป็นหลัก ซึ่งจะบ่งบอกว่าควรทำความสะอาดเมื่อไหร่ และควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศอันใหม่เมื่อใด
ไส้กรองอากาศมีหลายประเภท
ไส้กรองอากาศมีหลายประเภทหลายแบบ แต่ปัจจุบันนิยมใช้แบบกระดาษกรอง เพราะสะดวกต่อการทำความสะอาดหรือเปลี่ยนใหม่ และสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ไส้กรองอากาศแบบเปียกและไส้กรองอากาศแบบแห้ง
ไส้กรองอากาศแบบเปียก
ไส้กรองอากาศแบบเปียกจะถือว่าเป็นของโบราณก็ได้ เพราะปัจจุบันไม่เห็นรถรุ่นใหม่ใช้กันแล้ว ลักษณะคือไส้กรองจะใช้ชุบหรือแช่อยู่ในน้ำมันเครื่องบรรดาสิ่งสกปรกจะเกาะติดอยู่กับน้ำมันเครื่อง การทำความสะอาดก็คือการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่ไส้กรอง รถที่ใช้ไส้กรองแบบเปียกได้แก่พวกรถโฟล์คหรือรถเบนซ์รุ่นเก่า
ไส้กรองอากาศแบบแห้งจะนิยมใช้งานกันมากที่สุด ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ไส้กรองอากาศแบบธรรมดา และไส้กรองอากาศแบบเคลือบน้ำยา เพื่อให้น้ำยาเป็นตัวจับฝุ่นละอองสิ่งสกปรกที่ปะปนอยู่ในอากาศได้ดียิ่งขึ้น ลักษณะการทำงานก็จะคล้ายกับไส้กรองอากาศแบบเปียกนั่นเอง แต่ลักษณะและโครงสร้างจะต่างกัน
พวกไส้กรองอากาศแบบแห้งนั้นสมัยที่ใช้คาร์บูเรเตอร์เป็นตัวป้อนเชื้อเพลิง ตัวหม้อกรองอากาศจะอยู่เหนือคาร์บูเรเตอร์ การถอดไส้กรองออกมาทำความสะอาดเป็นเรื่องง่าย แทบไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรเป็นพิเศษ อย่างมากก็ใช้ไขควงช่วงงัดตัวล็อก หรือนิ้วแข็งพอก็สามารถใช้มือธรรมดาเปิดล็อคฝาปิดไส้กรองอากาศ นำเอาไส้กรองอากาศออกมาทำความสะอาดได้ ส่วนเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้ระบบหัวฉีด หม้อกรองอากาศจะถูกผนึกแน่นกว่าปกติ เพราะหากหม้อกรองอากาศรั่วไหลได้ จะมีผลกับการทำงานของเครื่องยนต์ ดังนั้นการถอดหม้อกรองอากาศเอาไส้กรองอากาศออกมา บางทีก็ต้องใช้เครื่องมือและฝีมือพอสมควรด้วยเหตุนี้สำหรับเจ้าของรถบางคนที่ต้องการทำความสะอาดไส้กรองอากาศ ต้องอาศัยการลงมือของช่างไม่ว่าจะเป็นช่างตามศูนย์ หรือช่างที่อยู่ตามปั๊มน้ำมันก็ได้
พวกไส้กรองอากาศที่เป็นแบบกระดาษอาบน้ำยา สามารถดักจับฝุ่นละอองสิ่งสกปรกไม่ให้หลุดลอดเข้าไปในเครื่องยนต์ได้ดีกว่าไส้กรองธรรมดา แต่ไม่สามารถใช้วิธีเอาลมเป่าทำความสะอาดได้ เพราะมักจะทำให้เกิดการอุดตันเพิ่มขึ้นมากกว่าจะสะอาด ต้องใช้วิธีเปลี่ยนใหม่กันอย่างเดียวหากเกิดการอุดตันหรืออากาศไหลผ่านไม่สะดวกเท่าที่ควรแล้ว
ส่วนพวกไส้กรองกระดาษธรรมเราสามารถเป่าทำความสะอาดได้ โดยการทำความสะอาดเราจะใช้ลมแรง ๆ เป่าจากด้านในไปสู่ด้านนอก หรือจากด้านที่เราเห็นว่าสะอาดกลับออกไปทางด้านสกปรก แม้เราจะเห็นว่าการเป่านั้นไม่สามารถทำให้ฝุ่นที่สกปรกฟุ้งออกมาได้มากเท่ากับการเป่าลมแรง ๆ ไปที่ด้านสกปรกก็ตาม เพราะการเป่าด้านสกปรกฝุ่นละอองสิ่งสกปรกจะถูกดันเข้าไป จนไปคาอยู่ทางด้านสะอาดแล้วหลุดเข้าไปในเครื่องยนต์ภายหลังได้ แบบนี้ก็จะทำให้เครื่องยนต์เสียหายหรือเกิดการสึกหรอโดยไม่สมควรเลย
การซื้อไส้กรองเปลี่ยนใหม่ต้องดูให้ดีว่าเป็นของที่มีคุณภาพด้วย เพราะพวกอะไหล่ที่ไร้คุณภาพกระดาษกรองจะไม่ดี ความยาวของกระดาษกรองที่พับมีน้อย ความสามารถในการเก็บกักฝุ่นละอองสิ่งสกปรกมีต่ำกระดาษกรองถูกความชื้นก็จะบวมทำให้อากาศไหลผ่านลำบาก หากไม่แน่ใจก็ควรใช้วิธีเบิกห้าง แม้จะแพงหน่อยแต่ก็มั่นใจในคุณภาพได้
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ดูแลกันเท่าไหร่นัก คือ ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเฉพาะรถรุ่นใหม่ที่ใช้ระบบหัวฉีด ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงจะมีความสำคัญมากเป็นพิเศษ
ทั้งในระหว่างการขนส่งหรือการเก็บก็ตาม น้ำมันเชื้อเพลิงอาจจะได้รับสิ่งสกปรก เช่น สนิม หรือฝุ่นผง ยิ่งพวกที่ชอบใช้น้ำมันจนเกือบหมดหรือหมดถังแล้วค่อยเติม ปั๊มน้ำมันจะดูดเอาตะกอนกันถังน้ำมันเข้าไปด้วย ถ้าไม่มีไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง สิ่งสกปรกเหล่านี้จะไปอุดท่อทางเดินน้ำมัน อุดนมหนูของพวกคาร์บูเรเตอร์ หรืออุดทางเดินของหัวฉีดในเครื่องระบบหัวฉีด
พวกเครื่องคาร์บูเรเตอร์ตัวไส้กรองจะเห็นได้ชัด ราคาก็ไม่แพงนักสมควรเปลี่ยนบ่อยหน่อย ประมาณ 15,000 กิโลเมตรต่อครั้ง ส่วนพวกเครื่องหัวฉีดแม้จะแพงหน่อย แต่ก็ควรเปลี่ยนประมาณ 15,000 กิโลเมตรต่อครั้งเช่นเดียวกัน ส่วนพวกรถบางรุ่นที่ย้ายเอาไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงไปไว้ในถังน้ำมัน การถอดเปลี่ยนจะต้องรื้อเยอะมาก อันนี้ให้เปลี่ยนตามที่บริษัทรถกำหนด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือยานยนต์
ปีที่ 45 เล่มที่ 565 มิถุนายน 2556
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก gasgoo , auto.howstuffworks , sevacall เเละ machsources