“โปรดบอกมาว่าต้องการอะไร” นั่นคือที่มาของคำว่า “Bespoke” ซึ่งแต่เดิมคือการทำตามความต้องการของลูกค้าเฉพาะรายบุคคลอันนอกเหนือจาก “ออปชั่น” ที่ผู้ผลิตมีเตรียมไว้ให้เลือกขอเพียงแค่บอกว่าอยากได้อะไร เช่น กล่องเก็บซิการ์ พร้อมช่องใส่แก้วกับขวดแชมเปญ หรืออะไรก็ได้ที่เจ้าของรถอยากจะให้มีไว้ปรนเปรอชีวิตที่แสนจะหรูหรา โดยปัจจุบันแบรนด์รถหรูและแพงมาก ๆ (หรูธรรมดาอาจไม่มี) จะมีแผนกนี้กันแทบทั้งนั้น
สำหรับการตกแต่งภายนอกของ Rolls-Royce Zenith Collection นี้ ทีมดีไซเนอร์ของแผนก Bespoke ได้นำเอาแรงบันดาลใจมาจาก Rolls-Royce Phantom ในอดีต ด้วยการใช้สีตัวถัง แดง มาเดียร่า (Madeira Red) กับสีเงิน จูบิลี (Jubilee Silver) แบบเดียวกับที่มีใน Rolls-Royce Phantom II ปี 1930 ส่วนน้ำเงิน มิดไนท์ บลู (Midnight Blue) และขาว อาร์คติก ไวท์ (Artic White) ใน Drophead Coupe นั้นจะทำให้ผู้เป็นเจ้าของได้นึกถึง Rolls-Royce Phantom II Continental ปี 1930
ภายในทั้ง Rolls-Royce Phantom Coupe และ Drophead Coupe ได้รับการออกแบบให้เชิญชวนลูกค้าของ Rolls-Royce ลุกออกจากเบาะนั่งหลังมานั่งในตำแหน่งผู้ขับขี่อย่างเต็มที่ ด้วยสัมผัสที่หรูหราด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 จุด คือการใช้มาตรวัดที่เป็นโลหะปัดเงาซึ่งทำให้ดูโดดเด่น หรูหราและมีพลัง เบาะนั่งคู่หน้าหุ้มด้วยหนังสีเข้มต่างจากเบาะนั่งหลัง และสุดท้ายคือแสงดาวระยิบระยับประดับบนเพดานห้องโดยสารสำหรับ Phantom Coupe
ส่วนท้ายรถเมื่อเปิดออกมาจะกลายเป็นที่นั่งจิบแชมเปญชมบรรยากาศ ซึ่งประกอบไปด้วยตู้แช่แชมเปญขนาดมาตรฐาน 2 ขวด พร้อมตู้เก็บแก้ว 8 ใบ ที่ Rolls-Royce ทำขึ้นมาโดยเฉพาะ
นอกเหนือจากนี้แผนก Bespoke ของ Rolls-Royce ยังใส่กิมมิกเข้าไปอีกเล็กน้อย เช่น ตรงสันหน้าตัดที่เท้าแขนบานประตูแบบ Suicide Door เมื่อมันถูกเหวี่ยงเปิดออกมาด้วยไฟฟ้า จะเห็นลายแกะสลักเป็นแผนที่ ซึ่งบอกสถานที่เปิดตัวรถต้นแบบของทั้ง 2 รุ่น โดย Phantom Drophead Coupe จะเป็นอิตาลี (Rolls-Royce 100EX เปิดตัวที่เมืองทิโวลี โรงแรมสุดหรู วิลลา เดสเต) ส่วน Phantom Coupe จะเป็นริมทะเลสาบเจนีวา ทางตะวันตกของสวิตเซอร์แลนด์ (Rolls-Royce 101EX) เพื่อเป็นการระลึกถึงวันแรกในช่วงเวลาสุดท้าย
ทั้งนี้ Rolls-Royce ยังทิ้งท้ายไว้อีกว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายและใกล้จะหมดลงแล้วเพราะฉะนั้นใครอยากเก็บ Phantom VII ไว้สักคันก็จงอย่าได้ลังเลและถามถึงราคา
ภาพจาก Rolls-Royce