บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ ซูบารุอย่างเป็นทางการ ได้จัดกิจกรรม Subaru Media Road Trip 2016 ให้สื่อมวลชนได้ร่วมทดสอบประสิทธิภาพและสมรรถนะของ The New Subaru Forester 2016 กันยาว ๆ ในการเดินทางแบบคาราวานเส้นทางกรุงเทพฯ-กาญจนบุรี ภายใต้แคมเปญ “Is there anything you can’t do” เพื่อให้คุณเริ่มออกไปทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้
โดยทีมงานกระปุกคาร์ ขอทำหน้าที่บอกเล่าถึงความรู้สึกจากที่ได้สัมผัสเจ้า Forester 2016 ให้ผู้ที่กำลังสนใจไว้เป็นข้อมูลก่อนและถ้าสนใจอยากให้หาโอกาสไปลองด้วยตัวเองกันครับ
หลังจากที่ได้รับการบรีฟข้อมูลคร่าว ๆ ถึงความเปลี่ยนแปลงของ Subaru Forester 2016 ใหม่ ที่โชว์รูม Subaru เสรีไทย และถ่ายรูปก่อนเดินทางในตอนเช้าเสร็จเรียบร้อย ก็ใกล้เวลาออกเดินทางเต็มที จึงไม่มีเวลาเดินชมตัวรถมากนักนอกจากเดินตรงไปยังรถที่ทางทีมงาน Subaru จัดไว้คันละ 2 ท่าน และจัดการเก็บสัมภาระไว้ด้านหลังเพราะอยากลองกดประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้าเล่น จากนั้นก็ต้องรีบประจำตำแหน่งผู้ขับขี่เตรียมตัวออกเดินทางเพราะใกล้เวลาล้อหมุนเต็มที่ เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่จะกล่าวถึงคงเป็นเรื่องสมรรถนะกันก่อนเลย
ตามสเปคขุมพลังใต้ฝากระโปรงของ Subaru Forester 2.0i-P ใช้เครื่องยนต์ Boxer 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 2.0 ลิตร รหัส FB 20 ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที เหมือนกับรุ่น 2.0i นั้นให้สมรรถนะที่อยู่ในเกณฑ์ดีตามมาตรฐานทั่วไป ซึ่งไม่ได้มีพละกำลังเหลือกินเหลือใช้
โดยเฉพาะในช่วงต้นของการทดสอบที่ต้องผ่านการจราจรคับคั่งของเส้นรามอินทรานั้น SSubaru Forester เครื่อง Boxer 4 สูบนอน มีการตอบสนองคล่องแคล่ว ว่องไว ไร้ปัญหา อีกทั้งยังเดินเรียบและเงียบสนิทดี
ในขณะที่ต้องวิ่งทางไกลบนถนนโล่งยาวหากต้องการอัตราเร่งแซงแบบรวดเร็วก็ต้องอาศัยกดเท้าขวากันมากหน่อยเจ้า Subaru Forester 2016 จึงจะค่อยเริ่มไต่ระดับความเร็วไปเรื่อย ๆ ตามธรรมชาติของรถที่ใช้ระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติแบบแปรผันอัตราทดต่อเนื่องที่ Subaru เรียกว่า Lineartronic CVT ซึ่งใช้โซ่แทนสายพาน
นอกจากจะได้ในเรื่องของความทนทานแล้วทาง Subaru ยังบอกว่าให้การตอบสนองได้ดีกว่าเพราะจะไม่มีการยืดตัวทำให้สูญเสียกำลัง ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการเดินทางสำหรับครอบครัวหรือไว้ท่องเที่ยวเพื่อทำกิจกรรมในวันหยุดพักผ่อน
แต่สิ่งที่น่าประทับใจคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของการบังคับควบคุม ซึ่งต้องเรียกว่าเป็นจุดขายสำคัญของ Subaru Forester 2016 ใหม่ ที่ดูจะโดดเด่นมากสำหรับรถประเภทนี้ในระดับราคาใกล้เคียงกัน ด้วยข้อได้เปรียบของการใช้เครื่องยนต์ Boxer สูบนอนที่วางอยู่ในระนาบเดียวกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Symmetrical All-Wheel Drive แบบสมมาตร ทำให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำและมีความสมดุลมากกว่า
พวงมาลัยให้ความรู้สึกแม่นยำ คล่องแคล่ว ว่องไว และเบามือในความเร็วต่ำ ส่วนในความเร็วสูงแม้จะไม่ได้หนักมือมากแต่ยังให้ความรู้สึกมั่นคงแบบไม่เครียด
ระบบกันสะเทือนเซตมาค่อนข้างเน้นไปที่ความสบายในการเดินทาง ด้านหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันตรัท ส่วนด้านหลังเป็นแบบดับเบิลวิชโบน หรือระบบปีกนกสองชั้น ระยะยุบ-ยืดตัว (Traveling) เมื่อระบบกันสะเทือนทำงานนั้นมีความนุ่มนวลพอที่จะไม่ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารเหนื่อยล้าเกินไปนัก แต่ก็ไม่มากเกินจนออกอาการย้วย บวกกับแชสซีส์ที่มีความแข็งแกร่งสูง (การบิดตัวของตัวถังน้อยมาก) จึงทำให้เสถียรภาพในการทรงตัวยามโค้ง รวมถึงการวิ่งทางตรงที่ความเร็วสูงเกิน 150 กม./ชม. ขึ้นไปค่อนข้างมั่นคงแม้จะมีความสูงใต้ท้องรถถึง 220 มม. (วัดจากจุดต่ำสุดถึงพื้น)
อย่างไรก็ตามด้วยความที่ Subaru Forester 2016 ใหม่ ไม่ได้มีความกว้างฐานล้อมากนัก (ด้านหน้ากว้าง 1,545 มม. หลัง 1,550 มม.) กับความยาวฐานล้อแค่ 2,640 มม. ซึ่งอาจเกิดอาการสั่นสะเทือนได้มากกว่ารถที่มีฐานล้อกว้างและยาวกว่าโดยธรรมชาติ เมื่อต้องเจอสภาพถนนที่ไม่ราบเรียบ แต่ไม่ถึงกับกระด้าง อาจเป็นเพราะ Subaru Forester 2.0i-P คันทดสอบนั้นใช้ยางขนาด 225/60 R17 ของ Continental ContiMaxContact MC5 ที่ซับแรงสะเทือนได้ดีอีกแรง จึงทำให้รู้สึกนุ่มและเงียบพอสมควร
หลังจากได้ทดลองขับขี่บนเส้นทางปกติแล้ว ทาง Subaru ยังได้จัดเตรียมเส้นทางออฟโรดแบบเบา ๆ เพื่อให้สื่อมวลชนได้ทดสอบระบบ X-Mode โดยเป็นทางบนเขาที่มีเนินสูง-ต่ำ สภาพเป็นถนนลูกรังและฝุ่นหนา ซึ่งระบบ X-Mode ใน Subaru Forester 2016 นั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กดปุ่ม X-Mode ที่คอนโซลกลางหน้าคันเกียร์และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสมองกลซึ่งจะช่วยจัดการกระจายกำลังส่งไปในแต่ละล้ออย่างเหมาะสมเพื่อให้ผ่านเส้นทางที่เป็นอุปสรรคไปได้
ในขณะที่ระบบ X-Mode นี้ถูกเปิดใช้งาน ผู้ขับขี่จะรู้สึกถึงการหน่วงของกำลังเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนเพื่อลดการลื่นไถลและสูญเสียกำลังของล้อทั้ง 4 โดยจะมีภาพแสดงการทำงานผ่านจอแสดงข้อมูลการขับขี่กลางแผงหน้าปัดตลอดเวลาที่ใช้งาน X-Mode และระบบจะปลดล็อกการทำงานนี้หากรถมีความเร็วเกิน 40 กม./ชม. ไปแล้วโดยอัตโนมัติ (หากต้องการใช้งาน X-Mode อีกต้องกดซ้ำอีกครั้ง)
ทางด้านระบบเบรกแม้จะไม่ได้มีการทดสอบอย่างจริงจังนอกเหนือจากการขับขี่ตามการจราจรปกติทั้งในเมืองและนอกเมือง แต่จากการขับขี่ทั่วไปที่ต้องลดความเร็วกะทันหันบ้างในบางจังหวะก็ให้ความมั่นใจได้ดี โดยด้านหน้าเป็นแบบดิสก์เบรกแบบมีครีบระบายความร้อน (Ventilated Disc Brakes) ในขณะที่ด้านหลังเป็นดิสก์เบรกแบบตัน ซึ่งก็ไม่มีอะไรพิสดารที่ทำให้การดูแลรักษายุ่งยาก ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อการหยุดฝูงม้าที่มี 150 ตัว กับตัวถังหนักประมาณ 1.5 ตันของ Subaru Forester 2016
ต่อมาก็เป็นส่วนของบรรยากาศภายในของ Subaru Forester 2016 ซึ่งถือว่าเพียงรุ่นปรับโฉม เพราะฉะนั้นมันจึงคล้ายคลึงกับรุ่นก่อนหน้าและรู้สึกได้ทันทีด้วยสายตาว่าเป็นรถที่แคบสูง แต่ก็ไม่ได้คับแคบจนอึดอัดเพราะพื้นที่เหนือศีรษะมีมาก เบาะนั่งก็เป็นทรงเรียบ ๆ และบุมาค่อนข้างแข็งแม้จะทำให้นั่งได้นานโดยไม่เมื่อยล้ามากเลยทำให้ไม่ค่อยกระชับลำตัวทั้งส่วนของพนักพิงและเบาะรองนั่ง
เบาะด้านหลังแยกพับได้แบบ 60 : 40 มีพื้นที่วางขาให้เหยียดหรือปรับเปลี่ยนอิริยาบถได้พอประมาณ แต่ตัวเบาะหลังก็ยังแบนราบเป็นกระดานไม่โอบกระชับลำตัวอยู่ดี (เจอได้บ่อยมากในรถ SUV ที่ต้องมีฟังก์ชั่นสำหรับการพับเบาะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีรถที่ออกแบบเบาะหลังให้นั่งได้กระชับสบายในระดับนี้) และค่อนข้างเอนไปทางด้านหลังซึ่งหลายคนอาจชอบแต่มีข้อเสียนิดหน่อยตรงที่ปรับไม่ได้ อันนี้คงต้องขึ้นอยู่กับสรีระของแต่ละคน
ทางด้านทัศนวิสัยของ Subaru Forester 2016 ใหม่ ถือว่าดีมากตามประเภทของรถ SUV ที่ตำแหน่งขับขี่มักอยู่สูง อีกทั้งเบาะนั่งคู่หน้าสามารถปรับได้ด้วยไฟฟ้า โดยฝั่งผู้ขับขี่จะปรับได้ 8 ทิศทาง
นอกจากนี้ด้วยความที่ Subaru Forester 2016 มีหลังคาสูงโปร่งจึงทำให้มีเนื้อที่ของกระจกมากมองเห็นได้โล่งตารอบคันและก็รับแดดไปเต็ม ๆ ด้วยเช่นกัน ในยามค่ำคืนยังมีระบบไฟหน้าปรับตามทิศทางการเลี้ยว (SRH) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยติดตั้งมาให้ด้วยแต่จะไม่มีให้ในรุ่น 2.0i
แต่ประเด็นที่ลูกค้าส่วนใหญ่มักพูดเป็นเสียงเดียวกันในเรื่องภายในบ่อยมากที่สุดก่อนหน้านี้ก็เห็นจะเป็นในเรื่องของการออกแบบและตกแต่งที่ดูเรียบง่ายเกินไปหน่อยเมื่อเทียบกับราคาระดับนี้
ซึ่งเราเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันว่า Subaru เป็นรถที่ไม่ติดหรูเอาเสียเลยแต่ก็คงจะทำอะไรไม่ได้มากนักสำหรับรุ่นปรับโฉมนอกจากยกระดับการตกแต่งด้วยพลาสติกสีดำเปียโนแบล็กบริเวณแผงหน้าปัด แผงประตู คอนโซลกลาง และฐานครอบคันเกียร์ รวมถึงมาตรวัดและจอแสดงข้อมูลการขับขี่ที่แพรวพราวขึ้น
ส่วนการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกปรับได้ 2 ฝั่งนั้นแม้จะใช้งานได้สะดวกใกล้มือก็ตาม แต่การแสดงผล เช่น อุณหภูมิ กลับไปปรากฏบนจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนแผงหน้าปัดด้านบน เรียกว่ามือไปทาง ตาก็มองไปอีกทางต้องอาศัยความเคยชินสักพักจึงจะใช้งานได้ถนัดหรือไม่ก็สั่งให้คนนั่งข้าง ๆ ปรับจะดีที่สุดซึ่งก็ต้องดูอารมณ์ให้ดีด้วยหากจะใช้โหมดนี้
เช่นเดียวกับเครื่องเสียงพร้อมระบบนำทางแบบสัมผัสซึ่งบอกตรง ๆ ขณะทดสอบใช้งานได้ไม่ค่อยถนัดเพราะไม่ชิน แต่ยังดีที่พวงมาลัยมีปุ่ม Multi-Function มาให้ปรับลดเสียงได้จากตรงจุดนี้แทนการมองหาปุ่มไหนสักแห่งบนเครื่องเสียง 2 DIN ที่มีหน้าจอแบบทัชสกรีน ส่วนตำแหน่งก้านไฟเลี้ยวอยู่ทางด้านซ้ายมือเหมือนรถยุโรปต่างจากรถญี่ปุ่นทั่วไป
ข้อดีอีกจุดหนึ่งเมื่อนั่งอยู่ภายในห้องโดยสารของ Subaru Forester 2016 ก็เห็นจะเป็นการเก็บเสียงภายในห้องโดยสาร ซึ่ง Subaru Forester 2016 ใหม่ มีการใช้กระจกรอบคันที่หนากว่าเดิมจึงกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดีทั้งเสียงลมที่ปะทะตัวรถในขณะที่วิ่งด้วยความเร็วสูงรวมถึงเสียงของยางเมื่อวิ่งผ่านถนนที่ขรุขระ (ยางที่ใช้อาจมีส่วนช่วยตรงจุดนี้เช่นกัน) นอกจากนี้ยังมีการเดินขอบยางรอบประตูด้านในถึง 3 ชั้น จะมีก็แต่เสียงเครื่องยนต์ที่ดังเล็ดลอดเขามาบ้างยามใช้รอบสูงซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ส่วนเรื่องความประณีตในการประกอบของ Subaru Forester 2016 (เฉพาะรุ่น 2.0i และ 2.0i-P) ยังมีรอยต่อขอบพลาสติกแข็งของแผงประตูบางจุดไม่เสมอกันให้เห็นบ้างเพียงเล็กน้อย ซึ่งต้องอยู่ในระดับจับผิดจนเกินเหตุเท่านั้น แต่โดยรวมแล้วก็แน่นหนาไม่มีเสียงแม้ยามที่รถมีการบิดตัวหรือสะเทือนมาก ๆ
สรุปส่วนตัวจากผู้ทดสอบ
Subaru Forester 2016 ก็ยังคงเป็นรถ SUV ที่มีสไตล์เรียบง่ายแม้จะเพิ่มความทันสมัยด้วยชุดโคมไฟหน้า-ไฟท้าย กันชนหน้า ล้ออัลลอยลายใหม่แล้วก็ตาม ส่วนภายในห้องโดยสารคงไม่ทำให้ใครร้องว้าวจนถึงกับต้องเอ่ยปากชมได้แต่อย่างน้อยก็กันเสียงรบกวนได้ดีทีเดียว
เครื่องยนต์แม้จะไม่ได้มีสมรรถนะจัดจ้านแต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานและที่สำคัญในเรื่องของการบังคับควบคุมมั่นใจได้ ซึ่งต้องยอมรับว่า Subaru Forester 2016 นั้นทำได้โดดเด่นทั้งเส้นทางแบบ “ออนโรด” และ “ออฟโรด” โดยกลุ่มลูกค้าที่กำลังมองหารถแนวนี้น่าจะทราบดีอยู่แล้ว (แต่อาจกำลังทำใจเรื่องหน้าตากับภายในที่ออกแนวธรรมดาไปสักหน่อย)
พอมาเจอกับราคาเปิดตัวตอนแรกในรุ่น 2.0i ซึ่งเริ่มต้น 1,398,000 บาท อาจทำให้หลายคนชะงักไปตาม ๆ กัน แต่ปัจจุบันได้ปรับลดลงมาอีกจนเหลือเพียง 1,198,000 บาท เท่านั้น ส่วนรุ่น 2.0i-P ที่ให้อุปกรณ์มาแบบเต็มคัน ลดเหลือ 1,398,000 บาท น่าจะทำให้คนที่กำลังตัดสินใจตอนนี้คิดหนักอยู่ไม่น้อย
สำหรับใครที่ให้ความสำคัญกับการขับขี่และการบังคับควบคุมเป็นข้อแรก Subaru Forester 2016 ใหม่ น่าจะถูกใจโดยเฉพาะหลังปรับลดราคาใหม่