เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ประเดิมปี 2559 เปิดตัวรถใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย Mercedes Benz C350e และ Mercedes Benz S500e ระบบปลั๊กอินไฮบริดที่เสริมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ชาร์จไฟบ้านได้ ให้ทั้งความประหยัด ปล่อยไอเสียน้อย ที่ยังคงฟีลลิ่งขับสนุกเหมือนเดิม
นอกจากนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ยังได้เชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมทดสอบทั้ง 2 รุ่นใหม่ บนเส้นทางเชียงใหม่-เชียงราย ทางทีมงานกระปุกคาร์ก็ได้รับเชิญเข้าร่วมทดสอบด้วย จึงขอมาบอกเล่าต่อให้ฟังกันครับ
- Mercedes Benz C350e ปี 2016
นับเป็นรถยนต์รุ่นที่ 2 ในตระกูล The new C-Class ที่ใช้เทคโนโลยีไฮบริดต่อจากรุ่น C 300 BlueTEC Hybrid ที่เป็นไฮบริดธรรมดา มีตัวถังให้เลือกแบบซีดานและเอสเตท
จุดที่เปลี่ยนหลัก ๆ เลยคือนวัตกรรมปลั๊กอินไฮบริด ที่ทดสอบอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในโหมดไฮบริดถึง 47.5 กม./ลิตร ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 58 กรัม/กิโลเมตรในรุ่นซีดาน และ 54 กรัม/กิโลเมตรในรุ่นเอสเตท
และความที่เป็นปลั๊กอินไฮบริด จึงเปลี่ยนเป็นแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาดความจุ 6.38 กิโลวัตต์ น้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม ไว้ที่ใต้เพลาขับด้านหลัง ซึ่งมีระบบหล่อเย็นจากน้ำ และฝาป้องกันการกระแทกที่ผลิตจากแผ่นโลหะปิดทับไว้ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดย
แบตเตอรี่นี้สามารถชาร์ตไฟให้เต็มได้ภายในเวลา 3 ชั่วโมงด้วยไฟบ้าน 220V พร้อมระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าอย่างเดียว (EV Mode) ได้ไกลถึง 33 กิโลเมตร
ดีไซน์ภายนอก Mercedes Benz C350e รูปลักษณ์ยังเป็นสไตล์ The new C-Class กระจังหน้าแบบคลาสสิคที่มาพร้อมกับโลโก้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ติดอยู่เหนือฝากระโปรงหน้าลาย 3 แถบเสริมโครเมียม กระจงหน้าสามารถเปิด-ปิดได้อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ค่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทาน และระบายอากาศที่ดียิ่งขึ้น ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System มีระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ
ดีไซน์ภายในแผงคอนโซลกลางที่สร้างเป็นชิ้นเดียวกับพนักวางแขนซึ่งถูกเป็นลายไม้ หรูหราตามสไตล์เบนซ์ ควบคุมระบบอินโฟเทนเมนต์ด้วย touchpad ติดตั้งบริเวณที่พักแขน
สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 5 รูปแบบ คือ
- Individual (I)
- Sport+ (S+)
- Sport (S)
- Comfort (C)
- Economy (E)
โหมดการขับขี่ Mercedes Benz C350e สามารถเลือกโหมดการทำงานของระบบ Plug-In HYBRIDได้ถึง 4 แบบ
HYBRID : การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเท่าที่จำเป็น หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20 % ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น และถ้าผู้ขับขี่ปรับเกียร์อัตโนมัติเป็นโหมดสปอร์ต (S) รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว มอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ทำงาน
E-MODE : สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว)ได้จนถึงความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นระยะทางสูงสุด 31 กิโลเมตรโดยไม่มีการคายไอเสีย (ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานของแบตเตอรี่และความเร็วที่ใช้) โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองที่การทำงานของระบบนี้สามารถครอบคลุมการใช้งานได้เป็นอย่างดี ผู้ขับขี่จะต้องไม่กดแป้นคันเร่งจนเกินแรงต้าน หากกดแป้นคันเร่งเกินแรงต้านเมื่อใด เครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนรถยนต์ทันที
E-SAVE : ในขณะที่เริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก ในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับตอนเริ่มต้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการวางแผนการเดินทางล่วงหน้า ว่ากำลังจะต้องเดินทางเข้าเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น หลังจากชาร์จแบตเตอรี่ high-volt จนเต็มแล้ว ควรเลือก E-SAVE ในการเริ่มต้นเดินทางก่อนที่จะเข้าเมือง เมื่อขับถึงในเมืองก็จะมีปริมาณกระแสไฟสูงสุดที่จะใช้ E-MODE สำหรับการเดินทางในเมืองได้อย่างเต็มที่
CHARGE : การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ใน ระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ในการขับเคลื่อนเลยเพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนื่อง แรงหมุนของเครื่องยนต์จะถูกนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า ไปสะสมไว้ในแบตเตอรี่และจะมีการแปลงพลังงานจลน์ที่เกิดจากการชะลอความเร็วหรือการเบรกให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าและเก็บสะสมไว้ ในแบตเตอรี่อีกด้วย เมื่อชาร์จไฟเต็ม ระบบจะปรับไปที่การทำงานในรูปแบบ E-SAVE โดยอัตโนมัติ
ด้านเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 1,991 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที โดยในรุ่นซีดานมีแรงบิด 350 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,200-4,000 ต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
รุ่นตัวถังเอสเตท มีแรงบิด 300 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,200-4,000 ต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 246 กม./ชม. ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
ราคาจำหน่าย Mercedes Benz C350e
The C 350 e Exclusive ราคา 2,990,000 บาท
The C 350 e AMG Dynamic ราคา 3,340,000 บาท
The C 350 e Estate AMG Dynamic ราคา 3,690,000 บาท
- Mercedes Benz S500e
เทคโนโลยีล่าสุดของเครื่องยนต์ไฮบริด อุปกรณ์อำนวยความสะดวกชั้นเลิศ และภาพลักษณ์อันหรูหราของรถยนต์ตระกูล S-Class เข้าไว้ด้วยกันมีให้เลือก 2 ดีไซน์ด้วยกัน คือ Exclusive และ AMG Premium
และด้วยความเป็นระบบปลั๊กกอินไฮบริด จึงมีการปล่อย CO2 เพียง 62 กรัม/กิโลเมตร แท้จะใช้เครื่องยนต์ความจุกระบอกสูบ 3.0 ลิตร
ดีไซน์ภายนอก Mercedes Benz S500e ยังคงความหรูหราสง่างาม เฉียบคม งดงามน่าดึงดูดใจ พร้อมทั้งมีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น ตามสไตล์เบนซ์แต่ยังมีสิ่งที่น่าติติงคือ ดีไซน์คล้ายคลึงกับ C-Class มากไป จะแยกรุ่นออกก็ต้องมองที่มิติรถแทน
ดีไซน์ภายในเน้นการใช้วัสดุคุณภาพสูงลายไม้ที่ได้รับการออกแบบพิเศษ designo high-gloss sunburst brown myrtle wood แบบ 2 โทนสี (two-tone) รวมทั้งเบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa แบบ Exclusive package ตัดเย็บลายเบาะแบบ diamond design พร้อมด้วยผ้าหลังคา และแผงบังแดดด้านหน้าหุ้มด้วย DINAMICA microfibre
ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร (Ambient Lighting) ที่สามารถปรับเฉดได้ถึง 7 สี สร้างอารมณ์การขับขี่ได้ดี พวงมาลัยหุ้มหนังสลับลายไม้ 2 ก้านแบบมัลติฟังก์ชั่น
Mercedes Benz S500e ยังสามารถเลือกโหมดการทำงานของระบบ Plug-In HYBRID ได้ 4 แบบ คือ
HYBRID : การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเท่าที่จำเป็น หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20 % ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น และถ้าผู้ขับขี่ปรับเกียร์อัตโนมัติเป็นโหมดสปอร์ต (S) รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียวมอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ทำงาน
E-MODE : สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว)ได้จนถึงความเร็ว 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นระยะทางสูงสุด 33 กิโลเมตรโดยไม่มีการคายไอเสีย (ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานของแบตเตอรี่และความเร็วที่ใช้) โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองที่การทำงานของระบบนี้ สามารถครอบคลุมการใช้งานได้เป็นอย่างดี ผู้ขับขี่จะต้องไม่กดแป้นคันเร่งจนเกินแรงต้าน หากกดแป้นคันเร่งเกินแรงต้านเมื่อใด เครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนรถยนต์ทันที
E-SAVE : ในขณะที่เริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก ในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับตอนเริ่มต้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการวางแผนการเดินทางล่วงหน้า ว่ากำลังจะต้องเดินทางเข้าเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น หลังจากชาร์จแบตเตอรี่ high-volt จนเต็มแล้ว ควรเลือก E-SAVE ในการเริ่มต้นเดินทางก่อนที่จะเข้าเมือง เมื่อขับถึงในเมืองก็จะมีปริมาณกระแสไฟสูงสุดที่จะใช้ E-MODE สำหรับการเดินทางในเมืองได้อย่างเต็มที่
CHARGE : การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลยเพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนื่อง แรงหมุนของเครื่องยนต์จะถูกนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าไปสะสมไว้ในแบตเตอรี่และจะมีการแปลงพลังงานจลน์ที่เกิดจากการชะลอความเร็วหรือการเบรกให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าและเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่อีกด้วย เมื่อชาร์จไฟเต็ม ระบบจะปรับไปที่การทำงานในรูปแบบ E-SAVE โดยอัตโนมัติ
ระบบควบคุมรถอัจฉริยะ ที่จะทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อปรับการทำงานของเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าให้เหมาะสมที่สุด เพื่อการขับขี่ที่ประหยัดพลังงานและช่วยให้รถสามารถเก็บพลังงานสำรองได้
โดยระบบจะตรวจจับแรงกดที่แป้นคันเร่งเพื่อส่งสัญญาณเตือนให้ผู้ขับขี่ผ่อนแรงกดที่แป้นคันเร่งตามความเหมาะสม หากรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและผู้ขับขี่เหยียบแป้นคันเร่งจนถึงจุดที่มีการตั้งค่าไว้ ระบบจะสลับการทำงานไปใช้เครื่องยนต์ให้โดยอัตโนมัติ
โดยระบบการจัดการพลังงานนี้ทำงานด้วยข้อมูล 2 ประเภท คือ ข้อมูลเส้นทาง ผ่านการตรวจจับอัตโนมัติ หรือใช้ค่าจากโหมดการทำงานของระบบ Plug-In HYBRID 4 แบบ, ข้อมูลจากผู้ขับขี่ ผ่านการตรวจจับจากโหมดการปรับเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ 3 แบบ ตามที่ผู้ขับขี่เลือกใช้
เครื่องยนต์ Mercedes Benz S500e เป็นเบนซิน แบบวี 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 6 สูบ ความจุ กระบอกสูบ 2,996 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 333 แรงม้า ที่ 5,250-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 480 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,600-4,000 ต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 5.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
ติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาดความจุ 8.7 กิโลวัตต์ น้ำหนักประมาณ 114 กิโลกรัม ไว้ที่ใต้เพลาขับด้านหลัง ซึ่งมีระบบหล่อเย็นจากน้ำ และฝาป้องกันการกระแทกที่ผลิตจากแผ่นโลหะปิดทับไว้ อีกชั้นหนึ่ง สามารถชาร์ตไฟให้เต็มได้ภายในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV Mode) เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 31 กิโลเมตร
- The S 500 e Exclusive ราคา 6,390,000 บาท
- The S 500 e AMG Premium ราคา 6,990,000 บาท
- ความเห็นส่วนตัวจากผู้ทดสอบ -
เรื่องรูปลักษณ์และดีไซน์ภายนอก หรูหราสวยงามดี แต่มีปัญหาเรื่องความจำเจอย่างยิ่ง ไม่ว่ามองจากด้านหน้ารถ ด้านข้างหรือ ด้านท้ายที่ยังดีหน่อย แยกได้จากชั้นไฟท้ายที่ C350e มี 2 ชั้น ส่วน S500e มี 3 ชั้น
ภายในรุ่น C350e มองโดยรวมจะดูสปอร์ตด้วยและกระชับกว่า ทั้งการเดินตะเข็บแดงบนเบาะและคอนโซล ส่วน S500e ก็กว้างขวางและอบอุ่นแต่ก็เร้าใจด้วยไฟ Ambient ภายในรถ
เรื่องของระบบปลั๊กอินเพิ่มขีดความสามารถและประหยัดจริง เพราะแบตเตอรี่ที่ใหญ่ ระบบ EV ล้วนก็ทำความเร็วได้เพียงพอ ทำให้ช่วงทำความเร็วต่ำหรือสตาร์ทรถเงียบสนิทเกินไปเสียด้วยซ้ำ
ว่ากันตรง ๆ เรื่องระบบอินโฟเทนเมนต์ และการปรับโหมดการขับขี่ และโหมดการใช้งานของระบบไฮบริด คุณต้องใช้เวลาการเรียนรู้ และการทำงานของระบบอย่างมาก แน่นอนมันยังขาดความ user friendly อยู่ประมาณหนึ่งเลย
เรื่องการขับขี่ต้องยกนิ้วให้งาม ๆ เพราะน้ำหนักรถที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีผลต่อสมรรถนะ ต้องยกความดีงามให้มอเตอร์ไฟฟ้าที่แรงบิดเยอะ เร่งแซงสบาย การบังคับควบคุมรถไม่มีปัญหาหรือสะดุดใจตรงไหน
และเชื่อใครที่ทดสอบขับคงต้องชอบ Benz C350e มากกว่า ทั้งควบคุมได้มั่นใจ เพิ่มความสนุกในการขับ ส่วนรุ่น S500e ทำมาเพื่อผู้บริหารจริง ๆ เพาะหลังดูจะสบาย ของเล่นมีเพียบทั้งเบาะนวด และจอส่วนตัว
ตลอดระยะทางการขับทดสอบจากตัวเมืองเชียงใหม่ ถึงสามเหลี่ยมทองคำที่จังหวัดเชียงรายระยะทางกว่า 250 กม. การขับขี่ก็ไม่ความเมื่อยล้าเลย
ที่สำคัญหากมองเรื่องราคา Mercedes Benz C350e และ Mercedes Benz S500e แพงขึ้นจากไฮบริดธรรมดาประมาณ 1.5 ใน C-Class และ 4 แสนบาทใน S-Class ขับสนุกขึ้น ประหยัด และเป็นหนึ่งในตัวช่วยมลพิษทางอากาศได้เป็นอย่างดีครับ