เมืองปลอดรถยนต์
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
พัฒนาเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่า 7 เมืองใหญ่ของโลกที่วางแผนให้เป็นเมืองปลอดการใช้รถยนต์
เป็นเวลานับร้อยปีแล้วที่รถยนต์เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญเคียงคู่กับเมืองใหญ่ต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งแม้จะให้ความสะดวกสบายแต่ก็ต้องแลกด้วยปัญหามากมายเช่นกัน ทั้งความแออัดบนท้องถนนอุบัติเหตุที่มากขึ้นและที่สำคัญคือมลพิษทางอากาศซึ่งบั่นทอนคุณภาพชีวิตของคนเมืองโดยตรง ด้วยเหตุนี้หลาย ๆ เมืองจึงวางแผนขนานใหญ่เพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นเมืองที่ปลอดการใช้รถยนต์ และไม่น่าเชื่อว่าเมืองที่ลุกขึ้นมาริเริ่มส่วนใหญ่เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลกทั้งนั้น ซึ่งวันนี้กระปุกคาร์ก็จะพาไปรู้จักกับ 7 เมืองใหญ่ที่ตั้งเป้าปลอดรถยนต์ ว่าพวกเขาวางแผนกันอย่างไรครับ
กรุงมาดริด ประเทศสเปน
เมืองหลวงของประเทศสเปนเริ่มวางแผนห้ามรถยนต์เข้าใช้ถนนในบางเส้นทางแล้ว และกำลังขยายสู่เส้นทางอื่น ๆ ในเมืองต่อไป โดยอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่อาศัยในแต่ละเขตใช้รถในพื้นที่ถนนในเขตของตนเท่านั้น หากนำรถของตนเข้าพื้นที่อื่นก็อาจโดนโทษปรับสูงถึง 100 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,200 บาท) เลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังได้เตรียมการเปลี่ยนถนนแบบเดิมที่ออกแบบสำหรับรถให้สามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสมกับการเดินเท้ามากขึ้นอีกด้วย ทั้งยังเตรียมปรับภาษีแบบใหม่โดยอิงค่าไอเสียชนิดที่ว่ารถคันไหนปล่อยควันเยอะก็ต้องจ่ายเงินเพื่อวิ่งอย่างแพงจนไม่คุ้มค่าเลยทีเดียว
กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
เมืองเฉิงตู ประเทศจีน
หัวเมืองใหญ่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ซึ่งกำลังวางแผนลดการรถยนต์หลังจากเห็นวิกฤติที่เกิดขึ้นในกรุงปักกิ่งมาแล้ว โดยทางเมืองเฉิงตูกำลังเริ่มในสิ่งที่เป็นพื้นฐานสุด ๆ ด้วยการวางผังเมืองใหม่ ให้การใช้รถยนต์เป็นทางเลือกซึ่งไม่จำเป็นเท่าใด และผู้คนในเมืองสามารถเดินไปยังจุดต่าง ๆ ของเมืองจากศูนย์กลางได้ในเวลา 15 นาที โดยตั้งเป้าให้ประชากรไม่ต่ำกว่า 80,000 คน สามารถเดินเท้าไปทำงานจากบ้านได้ และเช่นเดียวกับเมืองอื่น ๆ เฉิงตูเองก็มีการแบ่งโซนที่ห้ามรถยนต์เข้าเช่นกัน ซึ่งเราจะได้เห็นเมืองเฉิงตูในรูปแบบนี้อย่างเร็วในปี 2020 ครับ
เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี
แทนที่จะแบนการใช้รถยนต์ในเมืองไปเลย ทางเมืองฮัมบูร์กกลับมีวิธีการที่น่าสนใจกว่านั้นด้วยการออกแบบเมืองให้ง่ายต่อการเดินทางด้วยการเดิน จักรยาน และขนส่งมวลชนมากกว่าการใช้รถ ซึ่งระบบนี้เรียกว่า กรีน เน็ทเวิร์ค (Green Network) อันเป็นแผนระยะยาวที่วางเอาไว้ใน 15 - 20 ปี ข้างหน้าด้วยการสร้างลานจอดรถที่เชื่อมโยงกับเส้นทางเดินเท้าและจักรยานทั่วทั้งเมือง นอกจากนี้ ยังครอบคลุมไปถึงถนนออโต้บาห์น สาย A7 อันเป็นถนนสายหลักของยุโรปด้วย
กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์
ภาพจาก facebook Visit Helsinki
แม้เมืองเฮลซิงกิจะมีผู้อยู่อาศัยมากขึ้นทุกปี แต่ปริมาณรถยนต์บนท้องถนนกลับมีจำนวนน้อยลงไปเรื่อย ๆ ด้วยการออกแบบเมืองให้เหมาะกับการใช้บริการขนส่งสาธารณะมากกว่า ทั้งรถโดยสารประจำทาง แท็กซี่ จักรยาน และการเดิน โดยทางผู้บริหารเมืองหวังว่าผู้คนในเมืองจะสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายจนไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของรถยนต์ในที่สุด
เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี
มิลานเป็นเมืองที่ประสบปัญหามลพิษอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทางรัฐบาลเองก็พยายามทำให้ประชาชนอยากใช้รถยนต์ให้น้อยลงด้วยการรณรงค์ให้แจกตั๋วรถประจำทางฟรีแก่เจ้าของรถที่ไม่ได้นำรถออกมาใช้ ช่วยจูงใจให้คนหันมาใช้บริการรถประจำทางมากขึ้น
กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก
เมื่อ 40 ปีก่อน กรุงโคเปนเฮเกนเองก็ประสบปัญหาด้านการจราจรเช่นเดียวกับเมืองอื่น ๆ ทั่วโลก แต่ปัจจุบัน เมืองหลวงของประเทศเดนมาร์กกลายเป็นตัวอย่างด้านการบริหารจราจรไปเสียแล้ว เพราะประชาชนกว่าครึ่งหนึ่งของเมืองนี้ใช้จักรยานเป็นพาหนะหลักในการสัญจรทุกวัน ซึ่งทางผู้บริหารเมืองค่อย ๆ เริ่มต้นนโยบายดังกล่าวมาตั้งแต่ยุค 1960 จนปัจจุบัน โคเปนเฮเกนมีทางจักรยานยาวถึง 320 กิโลเมตร แถมยังมีทางหลวงจักรยานไว้ขี่เดินทางไปยังเขตนอกเมือง ด้วยเหตุนี้ ทำให้เมืองโคเปนเฮเกนเป็นเมืองที่มีตัวเลขผู้ครอบครองรถยนต์เฉลี่ยต่ำที่สุดในยุโรปด้วย
แม้ว่าในขณะนี้จะยังไม่มีเมืองใดในโลกสามารถกลายเป็นเมืองที่ปราศจากรถยนต์ได้อย่างที่หวัง แต่รับรองได้ว่าจากความตั้งใจในการทำงานของเมืองเหล่านี้ จะช่วยให้เป้าหมายดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้จริงในไม่ช้าแน่นอน และจะเป็นแบบอย่างให้เมืองอื่น ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยได้ทำตามกันด้วยครับ