
หากจะพูดถึงรถยนต์แล้วนอกจากความสวยงามคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสมรรถนะการขับขี่อันน่าประทับใจนับเป็นจุดขายสำคัญที่ผู้ผลิตรถยนต์จากทั่วโลกมักให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะถ้าสวยแล้วไม่แรงหรือสมรรถนะไม่ดีเหมือนหน้าตาก็อาจเป็นได้แค่รถธรรมดาทั่วไปซึ่งไม่ผิดแต่คงไม่น่าจะดีต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์เท่าที่ควร เราจึงได้มีโอกาสเห็นรถรุ่นแรงพิเศษออกมาให้เลือกมากมายแต่รถคันไหนล่ะคือสุดยอดที่แท้จริง
ซึ่งเวิลด์ คาร์ อวอร์ดส (World Car Awards) ก็ขอยกมืออาสารับหน้าที่จัดอันดับ World Performance Car ประจำปี 2016 โดย World Car Awards นั้นเป็นรางวัลที่ริเริ่มจัด และดำเนินการโดยสื่อมวลชนสายรถยนต์ทั่วโลกจาก 23 ประเทศ
เงื่อนไขเดียวกับรางวัลอื่น ๆ ของ World Car Awards คือรถที่จะมีสิทธิ์ได้รับการพิจารณาในเบื้องต้นนั้นต้องมีจำหน่ายอย่างน้อย 5 ประเทศ ใน 2 ทวีปเป็นอย่างต่ำ และนี่ก็คือรถยนต์ 5 รุ่น ที่มีสมรรถนะยอดเยี่ยมที่ผ่านเข้ารอบเพื่อชิงตำแหน่ง 2016 World Performance Car ส่วนจะแรงแค่ไหนต้องตามชม


Audi R8 Coupe ปี 2017 ซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ล่าสุดของ Audi ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V10 สูบ ขนาด 5.2 ลิตร วางกลางลำ ให้กำลังสูงสุด 540 แรงม้า ที่ 7,800-8,700 รอบ/นาที แรงบิด 540 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที
และหากเป็นรุ่น V10 Plus จะมีกำลังเพิ่มเป็น 610 แรงม้า ที่ 8,250-8,700 รอบ/นาที และแรงบิด 560 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลาแค่ 3.2 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 330 กม./ชม. เรียกได้ว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังมากที่สุดเท่าที่ Audi เคยมีมา
นอกจากพละกำลังจากเครื่องยนต์แล้ว Audi R8 ปี 2017 ยังโดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในชื่อ Quattro และยังสามารถเลือกปรับแต่งโหมดการขับขี่ได้ถึง 4 รูปแบบและยังสามารถเซ็ตพวงมาลัย เครื่องยนต์ เกียร์และการตอบสนองของแชสซีส์ได้อีกด้วย ทั้งหมดก็ฟังดูสมเหตุสมผลที่ได้เข้ามาเป็น 1 ใน 5 รถที่ได้เข้าชิงรางวัล 2016 World Performance Car


ทั้งนี้ในเว็บไซต์ของ World Car Awards เองไม่ได้ระบุเครื่องยนต์สำหรับ Chevrolet Camaro รุ่นที่เข้าชิงตำแหน่ง World Performance Car 2016 มาให้ และสำหรับ Chevrolet Camaro ปี 2016 ที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกานั้นมีเครื่องยนต์ให้เลือกถึง 3 ขนาด
- 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลัง 275 แรงม้า และแรงบิด 400 นิวตันเมตร
- V6 สูบ 335 แรงม้า และแรงบิด 385 นิวตันเมตร
- V8 6.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 455 แรงม้า และแรงบิด 616 นิวตันเมตร
โดยระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งแบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ และเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ แต่เครื่องที่น่าสนใจก็คงเป็นขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ กับ V8 6.2 ลิตร เท่านั้น


Honda Civic Type R เป็นรถที่มีขนาดเล็กสุดในบรรดารถทั้ง 5 รุ่นที่ผ่านเข้ารอบ แต่เรื่องสมรรถนะนั้นคงไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะพิษสงของเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร i-VTEC Turbo นั้นให้กำลังสูงสุดถึง 310 แรงม้า และแรงบิด 400 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 5.7 วินาที กับความเร็วสูงสุดที่ทำได้คือ 270 กม./ชม.
และด้วยความที่เป็นรถขนาดเล็กน้ำหนักเบาบวกกับเครื่องยนต์พลังแรงที่วางใน Honda Civic Type R นั้นเองก็สามารถทำลายสถิติความเร็วบนสนามสุดหฤโหดอย่างนูร์เบอร์กริงไปด้วยเวลาดีที่สุดเพียง 7.50 นาที ไปเป็นที่เรียบร้อยแบบที่ซูเปอร์คาร์เองยังต้องอายกันเลยทีเดียว


แทบไม่ต้องสงสัยในเรื่องความแรงเมื่อเห็นตรา Mercedes-AMG แทนที่จะเป็น Mercedes-Benz ซึ่ง Mercedes-AMG C 63 Coupe นั้นมาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ V8 ขนาด 4.0 ลิตร ไบ-เทอร์โบ (เทอร์โบคู่)
โดยเวอร์ชั่นที่จำหน่ายในอังกฤษมีพลังให้เลือก 2 ระดับ คือ 476 แรงม้า ที่ 5,500-6,250 รอบ/นาที และ แรงบิด 650 นิวตันเมตรที่ มาตั้งแต่รอบต่ำเพียง 1,750-4,500 รอบ/นาที กับ 510 แรงม้า ที่ 5,500-6,250 และแรงบิด 700 นิวตันเมตร ที่ 1,750-4,500 รอบ/นาที ให้อัตราเร่งจาก 0-100 ด้วยเวลาเพียง4 วินาที (476 แรงม้า) และ 3.9 วินาที (510 แรงม้า)
ส่วนความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ AMG SPEEDSHIFT MCT 7 จังหวะรวมไปถึงระบบกันสะเทือน AMG RIDE CONTROL สามารถปรับโช้คอัพด้วยไฟฟ้า


Range Rover Sport SVR เป็นรถ SUV ทรงพลังเพียงคันโตเพียงรุ่นเดียวที่ฝ่าด่านผ่านเข้ารอบ 5 คัน สุดท้ายของ 2016 World Performance Car จาก World Car Awards เบียดคู่แข่งอย่าง BMW X5 M และ X6 M ให้ตกเวทีไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
โดย Range Rover Sport SVR เป็นผลงานของแผนกรถพิเศษ Special Vehicle Operation หรือ SVO กลุ่ม Jaguar Land Rover คล้ายกับที่ BMW มีแผนก M Performance หรือ Mercedes-Benz มี AMG เพื่อพัฒนารถโมเดลธรรมดาให้เป็นรถกลายพันธุ์ที่มีสมรรถนะสูงกว่าปกติ
ทำให้ Range Rover Sport SVR มาพร้อมกับพลังมหาศาลจากการใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 5.0 ลิตร พ่วงซูเปอร์ชาร์จ จนได้กำลังสูงสุด 550 แรงม้า และแรงบิด 680 นิวตันเมตรที่ 3,500-4,000 รอบ/นาที สามารถพา SUV ร่างยักษ์พุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 4.5 วินาที ไปจนถึงความเร็วสูงสุดที่ 260 กม./ชม.
จากตัวเลขก็ไม่น่าแปลกใจว่ารถ SUV สายลุยแต่ติดหรูจากอังกฤษสามารถแซงหน้า BMW เข้ารอบมาได้อย่างไร ส่วนจะเอาชนะคู่แข่งอีก 4 คันที่เหลือได้หรือไม่ก็คงต้องรอติดตามกันอีกที
เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากที่รถสมรรถนะสูงมากในปัจจุบันนี้ไม่ได้จำกัดแค่รถสปอร์ตหรือซูเปอร์คาร์อีกต่อไป ซึ่งทั้งหมดก็เกิดจากความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลักจะเหลือก็เพียงอย่างเดียวคือเรื่องของราคาซึ่งต้องทำใจว่าของถูกและดีคงไม่มีในโลก
ภาพจาก Audi, Chevrolet, Honda, Mercedes-Benz, Range Rover