สร้างความตื่นเต้นกันทั่วเมื่อเกิดแผ่นดินไหวที่เชียงรายในระดับ 6.3 มาตราริกเตอร์ เมื่อตอนต้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งนับว่ารุนแรงไม่เบา แล้วยังตามด้วยอาฟเตอร์ช็อคมากกว่า 700 ครั้ง ซึ่งบางครั้งรุนแรงระดับ 5 มาตราริกเตอร์เลยทีเดียว ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตอนนี้ภัยแผ่นดินไหวไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับบ้านเราอีกแล้ว ซึ่งอันที่จริงก็มีแผ่นดินไหวในบ้านเรามากมาย อย่างในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดแผ่นดินไหวที่มีจุดศูนย์กลางในบ้านเราถึง 183 ครั้ง เพียงแต่ไม่รุนแรงและสร้างความเสียหายมากเหมือนครั้งนี้เท่านั้นเอง ก็เลยไม่ค่อยจะมีใครใส่ใจสักเท่าไหร่
ตอนหลังจากเกิดแผ่นดินไหวก็พูดกันหนาหูหน่อย มีการนำนักวิชาการเกี่ยวกับแผ่นดินไหวมาสัมภาษณ์กัน ว่ากันถึงสาเหตุผลกระทบ ตามด้วยการป้องกันวิธีเอาตัวรอดจากภัยแผ่นดินไหว ต่อจากนั้นก็คงจะลืมเลือนกันไปเป็นปกติ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนบ้านเรา
ถึงแม้สภาพเศรษฐกิจจะไม่ค่อยดีแต่พวกเราก็ยังเฉย ตกเย็นก็มานั่งสังสรรค์หลังเลิกงานก่อนกลับบ้านอยู่เหมือนเดิม ไม่ใช่เป็นเพราะไม่รู้สึกนำพาหรือไม่เดือดร้อน เพียงแต่ทำใจได้เท่านั้นเอง ปากก็หาเรื่องพูดไปเรื่อยเปื่อย แต่ในใจสะอื้นหนักเชียว
คืนวันหนึ่งตอนนั้นก็เริ่มจะดึกแล้ว กำลังสังสรรค์กันได้ที่อยู่พอดี ปรากฏว่าพวกเพื่อนร่วมโต๊ะจู่ ๆ ก็เงียบเสียงลง พร้อมกับได้กลิ่นน้ำหอมคุ้นจมูกโชยมา ก็เข้าใจว่าเป็นคุณเธอ "สาวแสบช่านักทำลายรถ" แวะมาสังสรรค์แน่นอน เพียงแค่แปลกใจว่าทำไมคืนนี้พรรคพวกต้องเงียบเสียงลงด้วย เลยหันหลังกลับไปมองก็เจอกับคุณเธอตามคาด แต่ที่ผิดความคาดหมายอยู่บ้าง คือนอกจากคุณเธอแล้วยังมีเพื่อนสาวตามมาด้วย และด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้พรรคพวกเงียบเสียง เพราะเพื่อนสาวของคุณเธอนั้น นอกจากหน้าตาดีแล้วหุ่นยังดีอีก แม่ก็ใจดีให้ติดตัวมาเยอะแล้วสาวเจ้าก็โชว์ให้เห็นกันชัดตา แบบนี้หากไม่เงียบก็ออกจะเกินไปหน่อยแล้ว
หลังจากคุณเธอกับเพื่อนนั่งลงแล้ว ก็มีการทักทายและแนะนำเพื่อนของสาวเจ้าให้รู้จัก แล้วบอกว่าเท่าที่พาเพื่อนสาวมาในคืนนี้เป็นเพราะรถของสาวเจ้ามีปัญหา จึงอยากจะมาขอคำแนะนำสักหน่อย
ปกติเหล่าพรรคพวกก็ชอบคุยอยู่แล้ว พอมาเจอสาวหน้าตาดีก็เลยคึกคักกันเป็นพิเศษ แย่งกันเสนอตัวจนไม่รู้จะฟังใครดี ทำให้วุ่นวายกันชั่วครู่กว่าจะเงียบเสียงลงได้
อาการของรถสาวเจ้าเพื่อน "สาวแสบช่านักทำลายรถ" นั้นมีปัญหาอยู่ 2 ประการ อย่างแรกมีเสียงดังเกิดขึ้นแถวล้อหลังด้านซ้ายเป็นเสียงก๊อกแก๊ก เสียงไม่ดังเท่าไหร่นัก แต่สร้างความรำคาญได้มาก ส่วนอีกเรื่องจะเกิดขึ้นตอนที่เบรก จะมีความรู้สึกเหมือนเครื่องยนต์มีการเคลื่อนที่เทไปทางด้านหน้ารถ
เท่าที่ฟังดูอาการของรถไม่น่าจะมีอะไรมากนัก แต่งานนี้รู้สึกสังหรณ์ใจพิกล คิดว่าคงไม่ง่ายนักหรอก ต้องมีอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่แน่นอน ก็เลยนั่งจิบ "วุ้น" เงียบ ๆ ปล่อยให้พรรคพวกแสดงฝีมือกันไปก่อน
เมื่อรถมีปัญหาสาวเจ้าเพื่อนคุณเธอ ก็นำรถไปให้ช่างจัดการแก้ไขเรื่องเสียงดังจากล้อหลังข้างซ้าย หลังจากช่างตรวจเช็กแล้วบอกว่าเป็นที่เบรกหลัง จึงจัดการรื้อเบรกออกมาซ่อม แต่ผลปรากฏว่าเสียงดังก็ยังไม่หาย ส่วนอาการเทของเครื่องยนต์ ช่างบอกว่าเป็นที่ยางแท่นเครื่องชำรุด ทำให้เครื่องยนต์เกิดอาการขยับตัวไปด้านหน้าเวลาเบรก ซึ่งช่างได้จัดการเปลี่ยนยางแท่นเครื่องไป 3 ตัวด้วยกัน แต่หลังจากเปลี่ยนแล้วแทนที่จะหายอาการก็ยังคงมีอยู่ เพื่อนของคุณเธอไม่รู้จะทำอย่างไร ก็นำเรื่องมาปรึกษา คุณเธอก็เลยพามาหาพรรคพวกที่นี่แหละ
เรื่องของเสียงดังที่ล้อหลังนั้นบอกตรง ๆ ว่าเป็นเรื่องที่จัดการได้ลำบากมาก เพราะตัวทำเรื่องนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชุดเบรก ระบบกันสะเทือนอันได้แก่ พวกบูชและลูกยางต่าง ๆ รวมทั้งคอยล์สปริงกับโช้คอัพ บางทีก็เกิดขึ้นจากลูกปืนล้อ นอกเหนือจากนี้ก็ยังเกิดขึ้นได้จากเรื่องที่ไม่น่าเกี่ยวข้อง อย่างของที่เก็บไว้ท้ายรถกระทบกัน หรือเกิดขึ้นจากยางกันโคลนหลุดหลวมก็เคยเจอ และที่นำปวดหัวมากคือ เกิดขึ้นจากน้ำที่เข้าไปค้างอยู่ในร่องของห้องเก็บของท้ายรถ อันเกิดจากน้ำเข้าทางช่องระบายอากาศ ซึ่งปกติจะมองไม่เห็น เพราะมีกันชนหลังปิดอยู่ รายนั้นกว่าจะเจอตัวการก็รื้อกันแทบจะทั้งคัน
ด้วยเหตุนี้พอได้ยินว่ารถสาวเจ้ามีปัญหาเร่องเสียงดังที่ล้อหลัง ก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาแล้ว จึงปล่อยให้พรรคพวกหาทางจัดการไปก่อน ซึ่งอันที่จริงนั้น หากต้องการหาตัวการให้อยู่ในวงแคบก็ควรจะฟังว่าเป็นเสียงดังอย่างไร ควรจะเกิดขึ้นจากวัสดุประเภทไหน นอกจากนั้นก็ต้องหาอาการให้เจอว่ามีลักษณะการดังตอนไหนบ้าง อย่างเช่น ดังเฉพาะตอนเบรก รถออกตัว ช่วงที่รถสะเทือนหรือดังตลอดเวลา แล้วนำมาพิจารณาว่าอาการของเสียงน่าจะเกิดขึ้นจากอะไรได้บ้าง จากเสียงที่เกิดขึ้นในลักษณะเช่นนั้น การพิจารณาว่าอะไรเป็นสาเหตุโดยไม่ได้ฟังเสียง หรือตรวจเช็กก่อนว่าดังตอนไหนและดังอย่างไร พูดไปก็เท่านั้นแหละ โอกาสเจอกับตัวการที่แท้จริงค่อนข้างยาก
เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งรถของพรรคพวกคันหนึ่ง เกิดปัญหามีเสียงดังกึกกักมาจากด้านหลังคล้าย ๆ กันนี่แหละ แต่เป็นทางด้านขวา โดยรถคันนั้นจะเกิดเสียงในจังหวะที่รถออกตัว และตอนเบรกในบางจังหวะ แต่ลักษณะอาการแบบนี้ค่อนข้างเด่นชัดเหมือนกับมีอะไรหลวมที่ช่วงล่างล้อหลัง พอรถมีการขยับตัวก็เกิดเสียง ตรวจเช็คไม่นานก็เจอตัวการ เป็นบูชของสวิงอาร์มหลวม ทำให้ช่วงล่างด้านหลังขยับจนเกิดเสียง แถมด้วยอาการกระตุกนิดหน่อยด้วย เพียงแค่เปลี่ยนบูชสวิงอาร์มที่ยืดกับโครงรถก็เรียบร้อย
สำหรับเสียงดังจากแถวล้อหลังที่กว่าจะหาเจอต้องใช้เวลาเป็นเดือน ก็เป็นเรื่องของ "ไอ้ตัวดูด" นี่เอง ตอนนั้นพบว่ามีเสียงดังมาจากแถวล้อหลังข้างซ้ายโดยจะมีเสียงตอนเบรกหรือรถวิ่งบนทางขรุขระ ตกหลุม หรือมีการกระแทก ตอนแรกดูพวกบูชยางต่าง ๆ ก็เห็นว่ามีสภาพดีไม่น่าจะมีปัญหา ก็คิดว่าอาจเป็นที่โช้คอัพหลัง เลยตัดสินใจถอดโช้คอัพหลังมาลองกดดู ก็พบว่ามีการทำงานตามปกติไม่มีปัญหาน่าสงสัยอันใด จะว่าเป็นที่ลูกปีนล้อก็ไม่น่าใช่ เพราะลองขึ้นแม่แรงยกรถให้ล้อลอย แล้วโยกล้อหลังก็แน่นดี ไม่มีอาการขยับหรือมีระยะร่นแต่อย่างใด แสดงว่าลูกปืนล้อยังกระชับแน่นหนาไม่ชำรุดหรือคลายตัวหลวมคลาน เลยมานั่งคิดว่าอะไรที่จะทำให้เกิดเสียงได้บ้าง ก็มานึกถึงลูกยางยืดเหล็กกันโคลง กับลูกยางยืดปลายเหล็กกันโคลง ก็เลยซื้อลูกยางมาลองเปลี่ยนดู แต่ก็ยังมีเสียงดังอยู่เหมือนเดิม
ที่ห้องเก็บของท้ายรถ "ไอ้ตัวดูด" จะมีสัมภาระค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นอะไหล่เก่า เครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ในการซ่อมรถ เรียกได้ว่าระดับน้อย ๆ อู่เคลื่อนที่เลยทีเดียว จึงเป็นไปได้ว่าเสียงที่เกิดขึ้น อาจจะเกิดจากพวกอะไหล่และเครื่องมือก็ได้ ขัดใจขึ้นมาก็จัดการเอาเหล่าสัมภาระท้ายรถออก และเพื่อความชัวร์ก็จัดการเอาออกจากรถหมด แม้กระทั่งยางอะไหล่ แม่แรง และประแจไขล้อ เรียกว่าเกลี้ยงเกลาเลยทีเดียว แต่ถึงกระนั้นแล้วเสียงดังก็ยังคงอยู่
ทนฟังเสียงดังจากช่วงลาง "ไอ้ตัวดูด" อยู่ได้ไม่นาน ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่าอะไรมันจะลึกลับปานนี้ จึงใช้เวลาว่างตอนวันหยุด ตั้งใจว่าจะจัดการปัญหานี้ให้หมดสิ้นไป ตอนแรกก็มายืนพิจารณาว่าอะไรที่สามารถสร้างเสียงดังโดยที่ละเลย หรือมองข้ามไปบ้าง ในที่สุดก็สะดุดตากับเบาะหลัง ซึ่งเป็นไปได้ว่าเบาะหลังอาจจะไม่แน่น หรือมีอะไรตกลงไปได้เบาะทำให้เกิดเป็นเสียงดังขึ้นมา จึงจัดการรื้อเบาะนั่งด้านหลังออก ก็ไม่พบอะไรที่ตกหล่นทำให้เกิดเสียงได้ แต่เพื่อความแน่ใจก็จัดการขันโบลต์ยึดพนักพิงเบาะหลัง และใส่เบาะนั่งให้ตรงล็อคไม่สามารถขยับได้ ต่อจากนั้นก็เอารถออกไปลองวิ่ง ก็พบว่าเสียงดังยังคงมีอยู่เหมือนเดิม จึงขับรถกลับมาแล้วเอา "วุ่น" มาจิบระหว่างนั่งมอง "ไอ้ตัวดูด" ว่ายังมีอะไรที่มองข้ามอยู่อีก
นั่งจิบอยู่นานจน "วุ้น" หมดไปหลายแก้วแล้ว ก็ยังนึกไม่ออกว่าอะไรที่จะสามารถเป็นตัวการที่ทำให้เกิดเสียงดังขึ้นมาได้ ขัดใจขึ้นมาก็จัดการเอาแม่แรงมายกล้อหลังให้ลอย ต่อจากนั้นก็มุดเข้าไปใต้ท้องรถนอนดูชิ้นส่วนของช่วงล่างว่าอะไรที่พอจะเป็นตัวการทำให้เกิดเสียงได้บ้าง มองไล่ไปเรื่อย ๆ ตามชิ้นส่วนต่าง ๆ ของช่วงล่างว่าอะไรส่อพิรุธบ้าง ก็ไม่เจอะเจออันใด จนกระทั่งมาถึงช่วงจุดยืดโครงรถ ซึ่งจะมีเหล็กหล่อแบน ๆ อยู่อันหนึ่งใช้ยืดระหว่างโครงรถกับชุดช่วงล่างเป็นการเพิ่มความแข็งแรงให้มากขึ้น พบว่ามีรอยหักอยู่ตรงกลาง
ปกติเหล็กยืดโครงรถอันนี้ถึงแม้จะหักก็จะไม่เห็นรอยหัก แต่เผอิญวันนั้นมีการยกรถให้ล้อลอย ก็เลยเกิดร่องรอยให้สังเกตได้ เข้าใจว่าน่าจะเป็นตัวการที่ทำให้เกิดเสียง จึงจัดการถอดออกาเชื่อมให้ติดกัน ที่บ้านมีเครื่องเชื่อมไฟฟ้าอยู่จึงเล่นไม่ยาก พร้อมกับมีคีมล็อคแบบปลายเป็นขาจับ ไม่ได้เป็นปากนกแก้วแบคีมล็อคทั่วไป คีมล็อคลักษณะนี้มักจะมีใช้งานตามอู่ซ่อมสี ใช้จับชิ้นส่วนตัวถังตอนเชื่อม เห็นเข้าท่าดีก็เลยซื้อมาใช้ดูบ้าง
หลังจากเชื่อมเรียบร้อยแล้ว ก็ใส่กลับเข้าไปอย่างเดิม ต่อจากนั้นก็เอารถออกไปลองวิ่ง พบว่าเสียงที่เคยดังหายไปเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว
การหาตัวทำเสียงใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป ไอ้ที่หมดปัญญาก็มีเหมือนกัน อย่างมีอยู่ครั้งหนึ่งพรรคพวกได้นำเข้ารถมาจากญี่ปุ่น เป็นรถใช้แล้วแต่สภาพใหม่มาก เป็นรุ่นใช้เครื่องแรงพิเศษที่บ้านเราไม่มี พวกจึงนำเข้ามาใช้เอง รถคันนี้อะไรก็ดีไปหมดทั้งรูปทรงและเครื่องยนต์ เสียเพียงอย่างเดียวที่มีเสียงดังก๊อกแก๊กมาจากแถวด้านหลังฝั่งซ้าย (คงเป็นเพราะบ้านเราขับรถชิดซ้าย ถนนส่วนใหญ่เอียงซ้าย และขอบถนนฝั่งซายจะไม่ค่อยเรียบทางด้านซ้ายจึงเกิดปัญหามากกว่าด้านขวา) ตอนแรกเห็นเป็นรถค่อนข้างใหม่ แถมยังเป็นรถประกอบจากญี่ปุ่น คงไม่ค่อยมีปัญหาอะไรนัก แต่ที่ไหนได้หลังจากตรวจเช็คอยู่หลายครั้ง ก็ยังไม่เจอตัวส่งเสียงดังซะที งานนี้ยิ่งกว่า "ไอ้ตัวดูด" ซะอีก ขนาดเปิดแผงข้างด้านหลังแล้วเอาฟองน้ำยัดตรงจุดที่คิดว่าอาจจะทำให้เกิดเสียงดังได้ก็ยังไม่สำเร็จ จนในที่สุดเพื่อนก็ขายรถคันนี้ไป
สำหรับรถของสาวเจ้าคันนี้ทางที่ดีน่าจะได้ลองขับซักหน่อย จะได้รับรู้ว่าเสียงดังเป็นเสียงแบบไหน และลักษณะการเกิดเสียงนั้นเป็นตอนไหนบ้าง นอกจากนี้ยังเป็นการตรวจสอบเรื่องรถมีปัญหาเรื่องเครื่องเทเวลาเบรครถด้วย จึงบอกกับคุณเธอ "สาวแสบช่านักทำลายรถ" ว่าขอลองขับรถของสาวเจ้าเพื่อนของเพื่อนคุณเธอ เพื่อหาว่าตัวก่อเรื่องเกิดขึ้นจากอะไร
สาวเจ้าคนสวยพอได้ยินคำขอก็พยักหน้าแล้วลูกขึ้นเดินไปยังที่จอดรถ โดยเดินตามไปอย่างกระชั้นชิดจนกระทั่งได้กลิ่นน้ำหอของสาวเจ้าเลยทีเดียว อันที่จริงงานนี้พรรคพวกจะตามมาดูด้วย แต่พอคุณเธอ "สาวแสบช่านักทำลายรถ" ไม่ได้เดินตามมา พรรคพวกก็เลยเปลี่ยนใจอยู่นั่งคุยกับคุณเธอแทน เป็นการเปิดโอกาสอันดีสำหรับสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับสาวเจ้า ก็เลยชวนคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปเรื่อย
เมื่อเดินมาถึงที่รถสาวเจ้าจอดเอาไว้ ก็ขอกุญแจรถมาเปิดรถและขออนุญาตขับ พร้อมกับชวนสาวเจ้านั่งรถไปด้วยกัน พวกรถสาว ๆ มักจะดีอย่างในเรื่องมักมีกลิ่นหอมให้ได้สัมผัส ขับแล้วรู้สึกชื่นใจสบายใจ โดยเฉพาะมีเจ้าของรถหน้าตาดีนั่งมาด้วย
ตอนแรกก็ขับไปเรื่อย ๆ ช่วงเจอรอยต่อถนนหรือเจอกับที่ขรุขระ จะพบว่ามีเสียงดังกิ๊ก ๆ หรือแก๊ก ๆ ดังแว่วมาจากแถวล้อหลังด้านซ้าย จากเสียงที่ได้ยินประมาณเอาว่าน่าจะเกิดจากอะไรหลุดหลวมมากกว่าเป็นการชำรุดเสียหายของพวกชิ้นส่วนของช่วงล่าง ส่วนจะเป็นอะไรนั้นคงต้องดูกันอีกที แต่คิดว่างานนี้คงเล่นไม่ยากเท่าไหร่นัก
อันที่จริงอาการเบรกแล้วเครื่องเทไปข้างหน้า ตัวน่าสงสัยมากที่สุด ก็ต้องเป็นพวกยางแท่นเครื่อง เพราะหากยางแท่นเครื่องชำรุด เครื่องยนต์จะให้ตัวได้ แต่งานนี้ช่างก็เปลี่ยนยางแท่นเครื่องไปแล้วปัญหาก็น่าจะจบ และเท่าที่ทดลองขับก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จะว่าสาวเจ้ารู้สึกไปเองก็คงไม่ใช่ อาจจะเป็นว่าช่างเปลี่ยนยางแท่นเครื่องไม่หมด หรืออาจใช้อะไหล่เทียมที่มีคุณภาพต่ำก็ได้
เพื่อความแน่ใจคราวนี้ก็เลย ทดลองขับด้วยความเร็วสูงซักหน่อยแล้วเบรก โดยก่อนเบรกได้เตือนสาวเจ้าให้รู้ตัวก่อนพร้อมกับมองกระจกหลังว่าไม่มีรถตามมา ซึ่งผลจากการเบรกพบว่าหน้ารถทรุดตัวลงค่อนข้างมาก ทำให้มีความรู้สึกว่าน้ำหนักหรือเครื่องยนต์เทไปด้านหน้ามากกว่าปกติ ลักษณะเช่นนี้แสดงว่ารถคันนี้มีปัญหาเรื่องคอยล์สปริงล้าตัวแล้ว แบบนี้เล่นไม่ยากแค่เปลี่ยนคอยล์สปริงเท่านั้นเอง
เมื่อพอจะทราบอาการของรถแล้วก็เลี้ยวรถกลับระหว่างทางก็อธิบายให้สาวเจ้าทราบถึงอาการของรถ เรื่องเบรกแล้วรู้สึกว่าเครื่องยนต์เทไปข้างหน้านั้น ตัวการเกิดขึ้นจากคอยล์สปริงล้าตัว ซึ่งเท่าที่สอบถามสาวเจ้าก็บอกว่าตั้งแต่ใช้รถมาหลายปีแล้วยังไม่เคยเปลี่ยนคอยล์สปริงเลย แล้วไม่รู้ด้วยว่าต้องมีการเปลี่ยนคอยล์สปริงด้วย เพราะเท่าที่เคยเห็นก็เป็นแค่เหล็กเส้นขดเป็นวง ไม่น่าจะเสียได้เลย
งานนี้เลยบอกกับสาวเจ้าไปว่า ตอนวันหยุดสุดสัปดาห์ให้นำรถไปที่บ้าน จะเปลี่ยนคอยล์สปริงให้ โดยตอนแรกจะเปลี่ยนเฉพาะสปริงคู่หน้าก่อน ถ้าเกิดเปลี่ยนแล้วมีปัญหาด้านหลังต่ำกว่าด้านหน้า ค่อยเปลี่ยนคอยล์สปริงหลังอีกที แต่เท่าที่ลองดูตอนนี้คิดว่าคอยล์สปริงหลังยังพอใช้ได้ เพียงแต่หลังจากเปลี่ยนแล้วต้องนำรถไปตั้งศูนย์ล้ออีก ดังนั้นจึงควรไปวันเสาร์เพราะหากเป็นวันอาทิตย์ พวกร้านตั้งศูนย์ล้อมักจะปิดเดี๋ยวทำรถไม่จบ
นอกจากนี้กะดูเรื่องเสียงดังจากด้านหลังให้ด้วย คิดว่าน่าจะมีปัญหาอะไร วนทางไปบ้านให้สอบถามจาก "สาวแสบช่านักทำลายรถ" ได้
ตอนที่ขับรถของสาวเจ้ากลับมาถึงร้านที่พวกเราใช้สังสรรค์หลังเลิกงานก่อนกลับบ้านนั้นช่วงลงจากรถได้เดินไปที่ท้ายรถนิดหนึ่ง ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมาย เมื่อพบว่ารถคันนี้ท่อไอเสียโผล่มาจากทางด้านซ้ายของรถ เพราะจำได้ว่ารถรุ่นนี้จะมีแผ่นกันความร้อนติดตั้งอยู่เหนือท่อไอเสีย หากโบลต์ยืดแผ่นกันความร้อนคลายตัว ก็ทำให้เกิดเสียงดังขึ้นมาได้ หรือไม่แน่ว่าอาจจะเป็นที่หม้อพักท่อไอเสียซะเอง
เท่าที่ได้เจอะเจอมาเรื่องรถเชื่อว่าไม่มีปัญหาอันใด สามารถจัดการได้ไม่ยากนัก สิ่งที่เป็นปัญหาแน่นอน คือทำอย่างไรถึงจะชวนสาวเจ้าไปกินข้าวฟังเพลงหลังจากซ่อมรถเสร็จแล้วได้เท่านั้นเอง ลำพังตัวสาวเจ้านั้นไม่เป็นปัญหา อ้อนนิดอ้อนหน่อยเดี๋ยวก็ใจอ่อนเอง จะเป็นเรื่องก็ตรงคุณเธอ "สาวแสบช่านักทำลายรถ" เท่านั้นเอง คุณเธอชอบกันทำพรรคพวกดีนัก ทำอย่างไรจึงจะจำกัดออกไปได้ เพราะงานนี้คุณเธอต้องมากับสาวเจ้าแน่นอน...ใครคิดออกช่วยบอกที จะไม่ลืมพระคุณเลย...
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือยานยนต์
ปีที่ 46 เล่มที่ 577 มิถุนายน 2557