เปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์จากบริษัทต่าง ๆ โดยการกำหนดความคุ้มครองที่ต้องการ พิจารณาเงื่อนไข ตรวจสอบบริการหลังการขาย และสอบถามโปรโมชั่นและส่วนลด
เบี้ยประกัน คือ จำนวนเงินที่ผู้เอาประกันภัยต้องจ่ายให้แก่บริษัทประกันภัย เป็นการแลกเปลี่ยนกับความคุ้มครองที่ได้รับจากกรมธรรม์ประกันภัย บริษัทประกันจะเป็นผู้กำหนดค่าเบี้ยประกันตามปัจจัยต่าง ๆ ถ้าเราเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์จากบริษัทต่าง ๆ อย่างดี จะช่วยให้เราได้เบี้ยประกันราคาถูกลง หรือเหมาะสมกับความต้องการเราที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีบริการผ่อนสบาย 10 งวด ผ่านบัตรเดบิตและเครดิต ทำให้เราสามารถลดความตึงเครียดด้านค่าใช้จ่ายให้เราได้
5 วิธีเปรียบเทียบ
เบี้ยประกันรถยนต์บริษัทต่าง ๆ
ให้คุ้มค่าและเหมาะสมที่สุด
ค่าเบี้ยประกันรถยนต์จากแต่ละบริษัทอาจแตกต่างกัน ทำให้การเลือกประกันที่คุ้มค่าและเหมาะสมกลายเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียด วันนี้เราจึงมีวิธีการเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์จากบริษัทต่าง ๆ เพื่อให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่าคุณได้เลือกแผนประกันที่ตอบโจทย์ความต้องการและเหมาะสมกับงบประมาณมากที่สุด ดังนี้
1. กำหนดความคุ้มครองที่ต้องการ
ก่อนที่เราจะเริ่มเปรียบเทียบเบี้ยประกันจากบริษัทต่าง ๆ เราควรกำหนดประเภทความคุ้มครองที่ต้องการก่อน โดยประกันรถยนต์สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ดังนี้
- ประกันชั้น 1 ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากที่สุด ทั้งการซ่อมแซมรถของเราและรถของคู่กรณี รวมถึงคุ้มครองในกรณีที่ไม่มีคู่กรณี การคุ้มครองจากภัยธรรมชาติ การถูกโจรกรรม หรือไฟไหม้
- ประกันชั้น 2+ คุ้มครองรถของเราและรถของคู่กรณีในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ แต่ไม่ครอบคลุมในกรณีที่ไม่มีคู่กรณี
- ประกันชั้น 3+ คุ้มครองรถของคู่กรณี และบางกรณีคุ้มครองรถของเราในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ
- ประกันชั้น 3 คุ้มครองเฉพาะรถของคู่กรณีเท่านั้น ไม่คุ้มครองรถของเราในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ
2. เปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์ออนไลน์
ในยุคออนไลน์แบบนี้มีเว็บไซต์และแอปพลิเคชันหลายแห่งที่ให้บริการเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์จากหลายบริษัทในที่เดียว เราสามารถใช้เว็บไซต์และแอปพลิเคชันเหล่านี้กรองผลลัพธ์ตามราคาและเงื่อนไขที่เราต้องการ เช่น ประเภทของประกัน ความคุ้มครองเพิ่มเติมของแต่ละบริษัทเสนอได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องไปสอบถามจากตัวแทนขายประกันเอง
3. พิจารณาเงื่อนไขและข้อยกเว้นของกรมธรรม์
การเลือกประกันรถยนต์ไม่ควรพิจารณาเพียงแค่ราคาเท่านั้น แต่ควรพิจารณาเงื่อนไขและข้อยกเว้นของกรมธรรม์อย่างละเอียด ดังนี้
- ข้อยกเว้นในการคุ้มครอง อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับข้อยกเว้นของกรมธรรม์ เช่น บางกรมธรรม์อาจไม่คุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุในบางสถานการณ์ หรืออาจไม่คุ้มครองในบางพื้นที่
- เงื่อนไขการเคลม ตรวจสอบว่าเงื่อนไขการเคลมเป็นอย่างไร เช่น จำนวนครั้งที่สามารถเคลมได้ในหนึ่งปี และกระบวนการในการเคลมยุ่งยากหรือไม่
4. ตรวจสอบการบริการหลังการขาย
การบริการหลังการขายก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เราควรเลือกบริษัทที่มีบริการหลังการขายที่ดี สามารถติดต่อได้ง่าย และให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ อย่างบางบริษัทอาจมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง เช่น การลากจูงรถ การช่วยเปลี่ยนยาง หรือการให้คำปรึกษาเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เพื่อช่วยให้เราซ่อมแซมรถได้เร็วขึ้นและกลับมาใช้รถได้ตามปกติในเวลาไม่นาน
5. สอบถามโปรโมชั่นและส่วนลด
หลายบริษัทประกันมีโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่หรือลูกค้าที่ต่อประกันกับบริษัทเดิม การสอบถามเกี่ยวกับโปรโมชั่นเหล่านี้สามารถช่วยให้การเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์ของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้วบริษัทจะให้ส่วนลดจากกรณีดังนี้
- ส่วนลดจากการขับขี่ปลอดภัย บางบริษัทมีส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ขับขี่ที่มีประวัติการขับขี่ที่ดี ไม่มีอุบัติเหตุในปีที่ผ่านมา
- ส่วนลดจากการติดตั้งอุปกรณ์เสริม บางบริษัทอาจมีส่วนลดให้สำหรับรถที่ติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น กล้องติดรถยนต์ หรือระบบ GPS
- โปรโมชั่นพิเศษในช่วงเทศกาล ตรวจสอบว่าในช่วงที่คุณต่อประกันมีโปรโมชั่นพิเศษหรือไม่ เช่น ส่วนลดเพิ่มหรือของแถม
สรุป การเปรียบเทียบ
เบี้ยประกันรถยนต์จากบริษัทต่าง ๆ
การเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์จากบริษัทต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อน ถ้าเรามีข้อมูลที่ครบถ้วนและรู้วิธีการเปรียบเทียบอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณสามารถเลือกประกันรถยนต์ที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดสำหรับคุณ แต่นอกจากการได้เบี้ยประกันราคาถูกแล้ว เรายังควรพิจารณาบริษัทประกันที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อยืนยันว่าเราจะได้รับการชดเชยตามที่ตกลงไว้ในกรมธรรม์จริง ๆ