หากพูดถึงอุปกรณ์เสริมแบบหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความหรูหราและคุณค่าให้ แก่ตัวรถแล้ว เบาะนั่งหนังมักเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่ถูกนึกถึง โดยในรถยนต์หลาย ๆ รุ่น เบาะนั่งหนังเป็นออปชั่นที่ต้องเพิ่มเงินพอสมควรเพื่อจะได้มันมาเลยทีเดียว หลายคนจึงสงสัยว่าทำไมเบาะนั่งจึงมีราคาสูงกว่าเบาะนั่งแบบอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ กระปุกคาร์จึงขอชวนมาดูเรื่องราวที่มาของเบาะนั่งหนังรถยนต์ที่คาใจคนรักรถทั้งหลายกันดูครับ
หนังเป็นวัสดุชนิดหนึ่งที่ถูกเลือกมาทำเบาะนั่งของรถยนต์เป็นเวลานาน แต่หนังที่จะนำมาทำเบาะนั่งได้นั้นไม่เหมือนกับหนังที่ใช้ทำเครื่อง หนังอื่น ๆ อย่างรองเท้าหรือกระเป๋า โดยจะต้องเป็นหนังที่มีความหนาและแข็งแรงเป็นพิเศษ เพื่อรองรับการถูไถกับร่างกายเราขณะขับขี่ได้นับพันนับหมื่นครั้งโดยไม่ฉีกขาด ทั้งยังต้องผ่านขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้ได้หนังที่ดีที่สุด
แบรนด์รถยนต์ทั่วไปมักเลือกใช้หนังจากวัว โดยมักเลือกแผ่นหนังที่มีขนาดพอเหมาะและมีบาดแผลน้อยซึ่งง่ายต่อการตัดเย็บและมีความทนทานกว่า แต่หากเป็นค่ายรถยนต์หรูอาจเลือกใช้หนังชนิดพิเศษที่มาจากวัวพันธุ์พิเศษหรือจากท้องที่นั้น ๆ เช่น เบนท์ลีย์ (Bentley) ที่เลือกใช้หนังจากวัวกระทิงซึ่งมีความหนาและยืดหยุ่นได้ดีกว่า หรือบางค่ายจะเลือกใช้เฉพาะหนังจากวัวที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของยุโรปและอเมริกา เนื่องจากเป็นเขตที่ปลอดแมลงจึงได้หนังที่สมบูรณ์ แถมยังมีลวดลายชัดเจนกว่าหนังจากวัวในภูมิภาคอื่นด้วย
แน่นอนว่าค่ายรถยนต์ไม่สามารถนำหนังสด ๆ มาทำเบาะนั่งได้ทันที จึงต้องผ่านกระบวนการฟอกเสียก่อน ซึ่งหลัก ๆ แล้วจะใช้สารเคมี โครเมียม ซัลเฟตในการฟอก ช่วยให้หนังมีความแข็งแรงทนทานเหมาะกับการนำมาใช้ทำเบาะนั่งแต่สำหรับผู้ผลิตรถยนต์หรูที่อยากโชว์ลวดลายและสัมผัสอันยอดเยี่ยมของวัสดุหนังก็จำเป็นต้องเพิ่มการฟอกด้วยวัสดุธรรมชาติเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการฟอกแบบดังกล่าวจะทำให้หนังปรากฏลายชัดเจนและยืดหยุ่นมากขึ้น แต่มีความทนทานน้อยลง จึงมักนำไปใช้กับชุดตกแต่งอย่างคอนโซลหน้า คอนโซลกลาง แผงประตู รวมถึงหลังคามากกว่า
แม้ปัจจุบัน ผู้ผลิตส่วนใหญ่จะสามารถผลิตหนังเทียมที่มีคุณสมบัติและความทนทานขึ้น มาได้ แต่ความรู้สึกของมันก็ยังไม่ใช่หนังจากวัวอยู่ดี มันจึงไม่ได้รับความนิยมสักเท่าไร อีกทั้งหนังยังเป็นวัสดุที่ไม่ได้ผลิตทีละมาก ๆ ได้เท่ากับผ้าหรือไวนิล ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจหากรถยนต์ที่ใช้เบาะหนังของคุณจะมีราคาสูงกว่าเบาะแบบอื่น ๆ นั่นเองครับ