รถมีเสียงหอน รถมีเสียงหวีดตอนวิ่ง คือสัญญาณเตือนความผิดปกติของรถยนต์ ไม่ควรปล่อยไว้และจะต้องรีบแก้ไขโดยเร็วที่สุด
รถมีเสียงหอนขณะขับขี่เป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนว่ามีความผิดปกติของรถยนต์ แต่เสียงหอนก็อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่เสียงหอนที่พบบ่อยมักมาจากส่วนประกอบเหล่านี้ ซึ่งควรรีบนำรถไปตรวจเช็กหาสาเหตุที่แท้จริงและแก้ไขโดยเร็วที่สุด
1. ลูกปืนล้อ
ลูกปืนล้อจะทำหน้าที่คอยลดแรงเสียดทานระหว่างแกนล้อและดุมล้อ ซึ่งมีอายุการใช้งานเหมือนอุปกรณ์ส่วนอื่น ๆ เมื่อถึงเวลาเสื่อมสภาพจะส่งเสียงคล้ายเสียงหอนหรือเสียงหวีด และดังมากขึ้นตามความเร็ว หากปล่อยไว้ไม่รีบดำเนินการแก้ไขปัญหาก็จะยิ่งนำไปสู่การสึกหรอที่เพิ่มไปจนกระทบชิ้นส่วนอื่น หรือลูกปืนล้อแตกในที่สุด จะเป็นอันตรายหรือเกิดความเสียหายมากขึ้น
2. ลูกปืนและสายพานหน้าเครื่องยนต์
ในเครื่องยนต์ของรถยนต์มีอุปกรณ์หลายตัวที่ต้องขับเคลื่อนด้วยสายพาน (Serpentine Belt) เช่น ปั๊มน้ำระบบระบายความร้อน ปั๊มพวงมาลัยพาวเวอร์ คอมเพรสเซอร์แอร์ ไดชาร์จ ซึ่งมีรอกขับเคลื่อนพร้อมกับชุดลูกปืน ขณะที่สายพานจะส่งแรงหมุนของรอกเพลาข้อเหวี่ยงไปยังรอกที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ที่ต้องขับเคลื่อนอุปกรณ์เสริมเหล่านี้ รวมถึงปั๊มน้ำของเครื่องยนต์ ปั๊มพวงมาลัยพาวเวอร์ คอมเพรสเซอร์แอร์ และเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ เป็นต้น
เมื่อตลับลูกปืนหรือสายพานของอุปกรณ์เหล่านี้เริ่มเสื่อมสภาพมักจะทำให้เกิดเสียงหอน และควรต้องรีบตรวจเช็ก เนื่องจากรถรุ่นใหม่ใช้สายพานเส้นเดียวหรือสองเส้นเพื่อขับเคลื่อนอุปกรณ์หลายตัว หากชำรุด ขาด อาจก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงได้
3. เกียร์
เกียร์หรือระบบส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังเพลาขับของรถยนต์ หากระบบส่งกำลังมีความผิดปกติก็อาจทำให้เกิดเสียงหอนได้ เช่น ปริมาณน้ำมันเกียร์ต่ำกว่าระดับที่กำหนด หรือเมื่อปั๊มน้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ นอกจากนี้ ทอร์กคอนเวอร์เตอร์ ซึ่งทำหน้าที่แยกและปรับการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังชุดเกียร์ หากชำรุดก็จะทำให้เกิดเสียงหอนได้ ซึ่งเสียงหอนที่เกิดจากเกียร์ถือว่าเป็นปัญหาที่ค่อนข้างร้ายแรง โดยเฉพาะในกรณีที่ทอร์กคอนเวอร์เตอร์เสีย จำเป็นต้องรื้อเกียร์ออกและมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
ดังนั้น หากรถมีเสียงหอน รถมีเสียงหวีด หรือเสียงผิดปกติอื่น ๆ ขณะขับขี่ ไม่ควรนิ่งนอนใจ ให้รีบนำรถไปตรวจสอบหาสาเหตุโดยผู้ที่มีความชำนาญ ซึ่งจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าปล่อยไว้ให้ปัญหาลุกลามจนถึงขั้นเสียหายหนักหรือเป็นอันตรายต่อการขับขี่
บทความที่เกี่ยวข้องกับปัญหารถยนต์
ขอบคุณข้อมูลจาก : cartreatments.com, drivinglife.net