แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมหรือหมดเร็วเป็นเพราะอะไร แล้วมีวิธีเลือกใช้แบตเตอรี่รถยนต์อย่างไร วันนี้เรามี 8 เคล็ดลับควรรู้เกี่ยวกับการเลือกแบตเตอรี่ให้เหมาะสมกับรถมาฝาก
1. ระยะเวลาแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม
ควรเอาใจใส่และเปลี่ยนแบตเตอรี่ตามระยะเวลาที่กำหนดโดยไม่ต้องรอ ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเปียก (มีช่องกลม ๆ ไว้เปิดเติมน้ำกลั่นได้เองและต้องได้รับการดูแลสม่ำเสมอ) หรือแบบกึ่งแห้ง (ส่วนใหญ่จะถูกซีลปิดไว้ไม่เห็นช่องเติมน้ำกลั่นแบบนี้ไม่ต้องการการดูแลมากนัก) มักจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยไม่เกิน 2-3 ปี แต่ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบแห้งที่มีราคาสูงมากจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเท่าตัวหรืออาจมากกว่านั้น ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานและการดูแลรักษา โดยทุกครั้งเมื่อเราเปลี่ยนแบตเตอรี่ร้านค้าจะทำสัญลักษณ์ไว้ที่แบตเตอรี่เพื่อระบุระยะเวลาเริ่มการรับประกัน ซึ่งสามารถเอาไว้ดูได้ด้วยว่าแบตเตอรี่จะถึงระยะเวลาที่ต้องเปลี่ยนเมื่อไร
2. ตรวจสภาพแบตเตอรี่รถยนต์เป็นประจำ
ถึงแม้ปัจจุบันแบตเตอรี่รถยนต์บางประเภทอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเลยตลอดอายุการใช้งาน (Maintenance Free) แต่เราแนะนำว่าถ้ามีโอกาสควรตรวจเช็กสภาพแบตเตอรี่เป็นประจำอย่างน้อยทุก ๆ สองปี โดยเฉพาะเมืองไทยที่มีสภาพอากาศร้อนแทบจะตลอดทั้งปี (แบตเตอรี่ทุกแบบกลัวร้อนทั้งสิ้นและความร้อนส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น) ทั้งนี้หากรถเริ่มมีอาการสตาร์ทเอื่อย ๆ หรือระบบไฟทั้งหมดให้ความสว่างน้อยลงจากปกติ แบตเตอรี่อาจมีกำลังไฟน้อยควรตรวจสอบโดยด่วนว่ามาจากสาเหตุใด และถึงแม้ว่ารถยนต์จะสามารถพ่วงแบตเตอรี่ได้แต่มักจะมีผลเสียต่อรถยนต์และยังเป็นอันตรายไม่มากก็น้อยแม้จะทำอย่างถูกวิธีก็ตาม
ทุกครั้งที่เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่โดยเฉพาะเมื่อให้ร้านนำมาเปลี่ยนให้ ควรตรวจสอบหรือย้ำให้แน่ใจว่าแบตเตอรี่ใหม่นั้นมีขนาดที่ถูกต้องและสามารถวางได้พอดีกับฐานแบตเตอรี่รถของคุณ โดยดูได้จากคู่มือประจำรถหรือสอบถามจากร้านที่จำหน่ายได้โดยตรง หรือถ้ายังไม่แน่ใจให้ระบุย้ำไปเลยว่านำมาใช้กับรถยี่ห้อ-รุ่นปีอะไรเพื่อความถูกต้อง
ถ้าเป็นรถเดิม ๆ ตามสเปคจากโรงงานนั้นแทบจะไม่มีอะไรยุ่งยากสำหรับการเลือกเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ เราสามารถยึดตามของเดิมได้เลย (ถ้าไม่แน่ใจว่าเดิมให้เช็กจากคู่มือประจำรถ) และไม่ควรลดขนาดความจุของแบตเตอรี่ (หรือแอมป์) ลงโดยเด็ดขาด เพราะผู้ผลิตรถยนต์นั้นคำนวณแอมป์ที่เหมาะสมกับการใช้งานของรถยนต์รุ่นนั้น ๆ ไว้แล้ว อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้มีแอมป์สูงเกินไปกว่าที่ผู้ผลิตกำหนดให้สิ้นเปลืองหากไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติม เช่น เครื่องเสียงหรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ ซึ่งหากมีสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่มีขนาดแอมป์สูงขึ้นได้ (ขึ้นอยู่กับว่าจัดมาชุดใหญ่แค่ไหน) และสิ่งที่ต้องระวังคือแบตเตอรี่แอมป์สูงๆ มักจะมีขนาดใหญ่ขึ้นตามไปด้วยจึงต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าฐานของแบตเตอรี่เดิมนั้นสามารถรองรับได้ด้วยหรือไม่
5. เลือกแบตเตอรี่รถยนต์ที่ให้กำลังสตาร์ทเพียงพอ
กำลังสตาร์ทที่ว่าจะถูกระบุด้วยค่า CCA (Cold-Cranking Amps) ซึ่งเป็นคนละค่ากับขนาดความจุของแบตเตอรี่ (Ah หรือแอมแปร์-ชั่วโมง) ที่ไว้จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถยนต์ เพราะจะเป็นค่าที่บอกว่าแบตเตอรี่ลูกนั้นมีความสามารถในการจ่ายไฟเพื่อให้มอเตอร์สตาร์ทดึงไฟไปใช้ในการสตาร์ทเครื่องยนต์ (ซึ่งจะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ) ได้แค่ไหน ซึ่งเครื่องยนต์แต่ละขนาดต้องการค่า CCA ไม่เท่ากัน ยิ่งเครื่องยนต์ที่มีขนาดความจุมากก็ต้องการค่า CCA มากตามไปด้วย อย่างไรก็ตามค่า CCA ของแบตเตอรี่แต่ละยี่ห้ออาจใช้มาตรฐานในการวัดต่างกันซึ่งมีทั้ง SAE, EA, IEC และ DIN ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต เพราะฉะนั้นจะดูค่า CCA เฉพาะตัวเลขอย่างเดียวอาจผิดพลาดได้และควรต้องดูทั้งหมดว่าตัวเลขที่ระบุนั้นใช้มาตรฐานใดวัด แต่ไม่ว่าจะใช้มาตรฐานใดค่า CCA ไม่ควรต่ำกว่าที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้
6. เลือกแบตเตอรี่รถยนต์ที่ผลิตใหม่เสมอ
แบตเตอรี่ใหม่ที่ยังไม่ถูกจำหน่ายและใช้งานก็สามารถเสื่อมคุณภาพลงได้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อให้ได้แบตเตอรี่ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดควรเลือกแบตเตอรี่ที่ผลิตไว้ไม่เกิน 6 เดือน โดยจะมีรหัสเฉพาะระบุไว้และไม่ได้ซับซ้อนขนาด Davinci Code ซึ่งอาจใช้ตัวเลขและตัวอักษรแทน วัน/เดือน/ปี ที่ผลิต แค่อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละยี่ห้อ เช่น อักษรแทนเดือน ตัวเลขแทนปี เป็นต้น เพราะยิ่งแบตเตอรี่ถูกเก็บไว้นานจะยิ่งมีความชื้นในตะกั่วเยอะ ชาร์จไฟยาก และถ้าลูกค้ารีบคนขายอยากขายไม่ได้ถูกชาร์จไฟให้แบตเตอรี่จนเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ก่อนนำมาใช้งาน ก็จะยิ่งส่งผลให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ลูกนั้นสั้นลงโดยที่เราไม่รู้ตัว
7. รีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์เก่า
แบตเตอรี่เก่ามีค่าและนำไปรีไซเคิลได้ ร้านค้าที่จำหน่ายแบตเตอรี่มักจะรับเทิร์นแบตเตอรี่เก่าอยู่แล้วโดยส่วนใหญ่จะนำไปลดราคาแบตเตอรี่ลูกใหม่ให้เลย ดังนั้นอย่าลืมสอบถามว่าแบตเตอรี่ลูกใหม่ราคาเท่าไรและราคาดังกล่าวหักค่าเทิร์นแบตเตอรี่เก่าไปแล้วหรือยัง หากไม่แน่ใจลองสอบถามเปรียบเทียบราคาจากร้านอื่น ๆ ก่อนตัดสินใจก็ได้ถ้าสะดวก (ถ้าไม่รอจนแบตเตอรี่เสื่อมก็มีเวลาให้เลือกเยอะ)
เป็นอีกข้อที่สำคัญมาก ๆ และไม่ควรมองข้ามสำหรับการเลือกแบตเตอรี่ใหม่ก็คือเราควรตรวจสอบการรับประกันแบตเตอรี่ของทางร้านค้าที่ซื้อทุกครั้ง เพราะอาจระบุระยะเวลารับประกันต่างกัน ซึ่งโดยปกติแล้วแบตเตอรี่รถยนต์จะมีระยะเวลารับประกันตั้งแต่ 1 ปี ไปจนถึง 2 ปี แล้วแต่ยี่ห้อของแบตเตอรี่ และนอกจากระยะเวลารับประกันแล้วควรสอบถามรายละเอียดหรือเงื่อนไขการรับประกันด้วยว่าครอบคลุมหรือไม่ครอบคลุมอะไรบ้างอย่างละเอียดให้เข้าใจ เพราะจะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกันทีหลังให้เสียเวลา เสียอารมณ์หากเกิดปัญหา แต่หลัก ๆ แล้วเงื่อนไขการรับประกันของแต่ละยี่ห้อนั้นมักจะคล้ายกัน
ทั้งหมดเป็นเคล็ดลับและแนวทางในการเลือกแบตเตอรี่รถยนต์เบื้องต้นโดยไม่ต้องรอให้ปัญหาเกิดขึ้นซึ่งวุ่นวาย เสียเวลา อันตรายรวมถึงอาจมีค่าใช้จ่ายมากกว่าที่คิด และที่สำคัญของถูกและดีย่อมไม่มีในโลก
ข้อมูลจาก : consumerreports.org