ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี 2023 วันนี้เรามีมาอัปเดต พร้อมข้อควรรู้และวิธีเลือกซื้อให้เหมาะกับการใช้งานของคุณ
ยางรถยนต์ เป็นส่วนสำคัญที่ผู้ใช้รถยนต์ไม่ควรมองข้าม เพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการขับขี่โดยตรง เนื่องจากยางเป็นส่วนที่รองรับน้ำหนัก ช่วยยึดเกาะถนน และส่งผลต่อการบังคับควบคุมโดยตรง ซึ่งยางที่หมดสภาพจะทำให้การขับขี่จะแย่ลง เป็นอันตราย และยังสร้างความเสียหายต่อระบบกันสะเทือนได้อีกด้วย
ดังนั้น หากพบว่ายางเริ่มมีเสียงดัง เกิดอาการสั่นบางช่วงความเร็ว ใช้ระยะเบรกมากกว่าปกติ เนื้อยางแข็ง แตกลายงา หรือดอกยางเหลือน้อย นั่นหมายความว่าอาจถึงเวลาต้องตรวจเช็กและเปลี่ยนใหม่ทันที ซึ่งเราได้รวบรวมยางรถยนต์ 2023 รุ่นล่าสุดมาให้พิจารณา พร้อมวิธีการเลือกยางรถยนต์สำหรับผู้ที่ยังไม่แน่ใจว่าควรเริ่มต้นจากตรงไหนให้เหมาะสม ตรงตามความต้องการ และไม่ต้องจ่ายแพงเกินความจำเป็น
ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดี 2023
ยางรถยนต์ Michelin
-
Michelin Energy XM2 +
ยางรถยนต์แบบประหยัดน้ำมันที่ผลิตจากเนื้อยาง Full Silica ให้ความยืดหยุ่นสูงช่วยให้หน้ายางปรับสภาพและยึดเกาะพื้นถนนได้เต็มที่ มีระยะเบรกสั้น และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน เหมาะสำหรับรถยนต์ขนาดเล็กและรถอีโคคาร์
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 1,900-3,800 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Michelin Primacy 4
ยางรถยนต์แบบนุ่มเงียบ เนื้อยางผลิตจาก Elastomer ลดเสียงรบกวน ร่องยางออกแบบให้ลดการสึกหรอ ช่วยให้มีระยะเบรกสั้นลง และเพิ่มการยึดเกาะ เหมาะสำหรับรถยนต์ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ รวมถึงรถอเนกประสงค์แบบ SUV เป็นต้น
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 2,850-7,800 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Michelin Pilot Sport 4
ยางรถยนต์แบบสปอร์ตใช้เนื้อยาง Functional Elastomers ให้สมรรถนะการยึดเกาะที่ดี ระยะเบรกสั้นลง ลายดอกยางรองรับการขับขี่แบบสปอร์ต เหมาะสำหรับรถสปอร์ตหรือรถยนต์ที่ใช้ความเร็วสูงเป็นประจำ
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 3,750-10,400 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Michelin e Primacy
ยางรถยนต์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดที่ต้องการความนุ่มเงียบ ช่วยลดการใช้พลังงานจึงเพิ่มระยะการใช้งานแบตเตอรี่ได้
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 5,800-8,900 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Michelin Pilot Sport EV
ยางรถยนต์แบบสปอร์ตที่ออกแบบมาสำหรับรถยนต์ไฟ้ฟ้า เนื้อยางสูตร Green Power เพิ่มประสิทธิภาพบริเวณไหล่ยางให้การยึดเกาะเมื่อขับขี่แบบสปอร์ต ขณะเข้าโค้งหรือใช้ความเร็วสูง และช่วยลดการใช้งานพลังงานไฟฟ้า เสียงรบกวนน้อย
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 12,200-17,700 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
ยางรถยนต์ Yokohama
-
Yokohama BluEarth
ยางรถยนต์แบบมาตรฐานของ Yokohama ที่เน้นความนุ่มสบายในการโดยสาร แบ่งเป็น 3 ซีรีส์ เริ่มต้นจาก BluEarth-ES, BluEath-GT สำหรับรถยนต์นั่งขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ และ BluEarth-XT สำหรับรถ Crossover SUV ล้อ 16-19 นิ้ว
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 2,300-10,000 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและขนาดยาง
-
Yokohama Advan DB
ยางรถยนต์ประเภทนุ่มและเงียบที่สุดของ Yokohama ดอกยางถูกออกแบบมาให้มีร่องยางลดเสียงรบกวน เนื้อยางนุ่ม จึงให้ความเงียบได้ยาวนานแม้ผ่านการใช้งานไปสักระยะ เหมาะสำหรับกลุ่มรถพรีเมียมหรือผู้ที่ต้องการความนุ่มนวล เสียงรบกวนในการเดินทางน้อย และไม่เน้นการขับขี่แบบสปอร์ตนัก
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 3,800-12,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Yokohama Geolandar
ยางรถยนต์ที่ออกแบบมาสำหรับรถ Crossover SUV รถกระบะ และรถ SUV ที่เน้นการลุยแบบจริงจัง แบ่งเป็นหลายซีรีส์ โดยกลุ่มเน้นใช้งานแบบออนโรดจะมี Geolandar X-CV, Geolandar CV และ Geolandar H/T ส่วน Geolanda A/T, Geolandar X-AT, Geolandar M/T และ Geolandar X-MT จะหนักไปทางออฟโรดตามลำดับ
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 3,600-15,200 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและขนาดยาง
-
Yokohama Advan Sport
ยางรถยนต์แบบสปอร์ตเน้นการขับขี่มากกว่าความนุ่มสบาย แต่ยังกับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้แบบไม่ฮาร์ดคอจนเกินไปของ Yokohama ได้รับการออกแบบให้ยึดเกาะได้ดีทั้งถนนเปียกและแห้ง โดยยังคงความนุ่มเงียบไว้ได้ค่อนข้างมาก แบ่งเป็น 2 รุ่น คือ Advan Sport V105 และ V107
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 7,300-18,400 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและขนาดยาง
ยางรถยนต์ Bridgestone
-
Bridgestone Ecopia
ยางรถยนต์แบบประหยัดน้ำมันที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี Nano Pro-Tech ช่วยลดแรงต้านการหมุนเพื่อให้ประหยัดพลังงานและมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น มีขนาดให้เลือกทั้งรถเล็ก กลาง และใหญ่
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 2,400-4,900 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Bridgestone Turanza
ยางรถยนต์แบบนุ่มเงียบ สำหรับผู้ที่ต้องการความสบายในการเดินทางเป็นหลัก หน้ายางช่วยกระจายแรงกด ลดแรงกระแทก ดอกยางออกแบบให้ลดเสียงรบกวน มีให้เลือกสำหรับรถยนต์นั่งขนาดคอมแพกต์ไปจนถึงขนาดใหญ่
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 3,000-5,600 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Bridgestone Potenza
ยางรถยนต์ที่ออกแบบมาให้การยึดเกาะและเข้าโค้งที่ดี เน้นการขับขี่แบบสปอร์ตเป็นหลัก มีขนาดให้เลือกทั้งรถยนต์นั่งขนาดเล็ก คอมแพกต์ กลาง และขนาดใหญ่
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 3,000-5,600 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Bridgestone Alenza
ยางรถยนต์สำหรับรถอเนกประสงค์แบบ Crossover SUV โดยเฉพาะ ใช้เทคโนโลยีโครงสร้าง Multi-Round Block (MRB) ช่วยเพิ่มแรงกดบนหน้ายางให้สัมผัสพื้นเต็มที่เพื่อให้ยึดเกาะถนนและลดระยะเบรกลดลง
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 3,000-18,900 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Bridgestone Dueler
ยางรถยนต์แบบ All Terrain ได้รับการออกแบบมาให้ยึดเกาะถนนได้หลายสภาพพื้นผิวทั้งทางเรียบ ขรุขระ และมีความทนทานต่อการฉีกขาดจากการขูดจากเศษหิน เศษแก้ว หรือของแหลมคมได้มากกว่าปกติ สำหรับรถกระบะและรถกระบะดัดแปลง (PPV)
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 3,500-8,900 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
ยางรถยนต์ Dunlop
-
Dunlop Ensave
ยางรถยนต์แบบประหยัดน้ำมัน แบ่งเป็น Enasave สำหรับรถยนยต์นั่งขนาดเล็ก และ Enasave Premium+ สำหรับรถยนต์นั่งขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ (มีเฉพาะขนาด 215/55R17) ที่ช่วยลดแรงต้านการหมุนของล้อช่วยให้ประหยัดน้ำมัน เนื้อยางแบบ Multi-Functionalized Polymer เสริมการยึดเกาะและลดเสียงรบกวน
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 1,600-3,500 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Dunlop SP SPORT
ยางรถยนต์แบบนุ่มเงียบ ออกแบบรูปทรงแก้มยางและหน้าสัมผัสยางช่วยให้ดูดซับแรงกระแทกกับพิ้นผิวถนน ลดอาการสั่นสะเทือนเพื่อให้ขับขี่ได้นุ่มนวลขึ้น มีขนาดให้เลือกตั้งแต่รถยนต์ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 1,500-5,500 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Dunlop Direzza
ยางรถยนต์แบบสปอร์ตที่รองรับการใช้ความเร็วสูง ดอกยางออกแบบมาช่วยลดอาการเหินน้ำและเสียงรบกวนที่เกิดขึ้น ยึดเกาะได้ดีโดยเฉพาะบนถนนเปียกและช่วยลดระยะการเบรกให้สั้นลง
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 1,800-4,600 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
ยางรถยนต์ Goodyear
-
Goodyear Assurance Duraplus 2
ยางรถยนต์ที่เน้นความทนทานใช้งานได้นานขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่น Assurance Duraplus เดิม ด้วยเทคโนโลยี TredLife ใช้โครงสร้างผ้าใบ 2 ชั้น ลายดอกยางใหม่ทนทาน และสียงรบกวนน้อยลง ดอกยางจึงสึกช้าใช้งานได้มากขึ้น
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 1,800-2,800 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Goodyear Assurance Comforttred
ยางรถยนต์แบบนุ่มเงียบสำหรับรถกลุ่มพรีเมียม ซึ่งลดเสียงลดกวนด้วยการเพิ่มชั้นยางภายในโครงสร้างเพื่อตัดเสียงรบกวนอีกทั้งยังดูดซับแรงสั่นสะเทือนขณะยางสัมผัสถนนหรือเกิดการกระแทกช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลขึ้น
ราคาเริ่มต้นโดยประมาณ เส้นละ 4,100 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Goodyear Eagle F1
ยางรถยนต์กลุ่มสปอร์ตเน้นการขับขี่ แบ่งเป็น 3 รุ่น คือ Eagle F1 Asymmetric 5, Eagle F1 Asymmetric 3 และ Eagle F1 Sport โดยรุ่นที่เหมาะสมกับการใช้งานได้หลากหลายคือ Eagle F1 Asymmetric 5 ขณะที่รุ่น Eagle F1 Asymmetric 3 จะเป็นยางรันแฟลต ส่วนรุ่น Eagle F1 Sport จะค่อนข้างหนักไปทางสปอร์ตจัดบนถนนแห้ง การควบคุมบนถนนเปียก ความสบาย และการลดเสียงรบกวนอาจไม่ดีนัก
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 2,300-16,000 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและขนาดยาง
-
Goodyear Assurance Maxguard SUV
ยางรถยนต์สำหรับรถ Crossover SUV คุณสมบัติเป็นกลาง ให้ทั้งในแง่ความนุ่มนวล เสียงรบกวน การบังคับควบคุมรวมถึงการเบรกบนถนนเปียกและแห้ง ด้วยเทคโนโลยี ActiveGrip อีกทั้งเนื้อยางยังเน้นความทนทานลดการสึกหรอให้ช้าลง
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 3,000-5,600 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Goodyear Cargo Max
ยางรถยนต์สำหรับกระบะและรถตู้ คุณสมบัติหลักของยางรุ่นนี้คือความทนทาน สึกหรอช้ามากกว่าการควบคุม ผลิตด้วยเทคโนโลยี MaxLoad และสามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกได้เยอะ เหมาะกับทุกสภาพพื้นผิวถนน พร้อมร่องยางที่รีดน้ำออกจากหน้ายางได้เร็ว ช่วยให้มั่นใจบนถนนเปียกมากขึ้น
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 2,600-3,500 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
ยางรถยนต์ Hankook
-
Hankook Ventus Prime 3
ยางรถยนต์สำหรับรถเก๋งที่ออกแบบให้คุณสมบัติเป็นกลาง ๆ ให้การยึดเกาะทั้งบนถนนเปียก ถนนแห้ง นุ่มนวล และเสียงรบกวนต่ำ ส่วนการบังคับควบคุมอาจไม่โดดเด่นเท่ารุ่นสปอร์ต
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 2,100-6,500 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Hankook Ventus V12 evo 2
ยางรถยนต์แบบสปอร์ตของ Hankook ให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะบนถนนเปียกและแห้งด้วยเทคโนโลยี Triple TR จากสนามแข่งรถทัวริ่ง DTM ด้วยแก้มยางที่รองรับการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง รวมถึงออกแบบให้ลดการต้านการหมุนของล้อด้วยการใช้เข็มขัดรัดหน้ายางที่เบาขึ้น
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 1,800-7,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Hankook Kinergy
ยางรถยนต์ที่ให้การประหยัดน้ำมัน พร้อมการยึดเกาะที่ดีด้วยคุณสมบัติการผลิตที่เพิ่มความแข็งแรงของดอกยางและแก้มยาง ลดแรงต้านทานการหมุน ใช้งานได้นานขึ้น เหมาะสำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ไม่เน้นใช้ความเร็วสูง
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 1,300-2,400 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Hankook Dynapro
ยางรถยนต์สำหรับกระบะและรถอเนกประสงค์แบบ Crossover SUV มีให้เลือก 4 รุ่น คือ Dynapro HT สำหรับถนนดำหรือทางเรียบ และ Dynapro HP2 สำหรับรถพรีเมียมคุณสมบัติคล้าย HT แต่ประสิทธิภาพสูง เสียงรบกวนน้อยกว่า ขณะที่ Dynapro AT2 จะเป็นยาง All-Terrain ลุยได้ทั้งออนโรดและออฟโรด กับ Dynapro MT2 หรือยาง Mud-Terrain เน้นการบุกลุยแบบออฟโรดเป็นหลัก
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 3,700-7,000 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและขนาดยาง
-
Hankook Ventus iON
ยางรถยนต์รุ่นใหม่จาก Hankook เพื่อรองรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีน้ำหนักและแรงบิดมากกว่าปกติ ด้วยโครงสร้างยางที่ต้านทานการเสียรูป รวมถึงลดการต้านการหมุนข้องล้อเพื่อประหยัดการใช้พลังงาน อีกทั้งยังออกแบบให้เสียงรบกวนน้อยซึ่งในรถยนต์ไฟฟ้าจะได้ยินเสียงเหล่านี้ชัดเจนเนื่องจากไม่มีเสียงเครื่องยนต์หักล้าง
ราคาโดยประมาณ (ไม่ระบุราคา)
ยางรถยนต์ Maxxis
-
Maxxis Mecotra
ยางรถยนต์ประหยัดน้ำมัน ที่ผลิตจากเนื้อยางที่รองรับแรงกระแทกได้ดี มีแรงต้านการหมุดต่ำเพิ่มความประหยัด นุ่ม เงียบ และลดเสียงรบกวน ใช้งานได้ยาวนานขึ้น เหมาะสำหรับรถยนต์ทั่วไป แบ่งเป็น 2 รุ่น คือ ME3 สำหรับรถเก๋งขนาดเล็ก และ MA-P5 สำหรับรถเก๋งหลายขนาดรวมถึงรถ Crossover SUV ขนาดล้อไม่เกิน 17 นิ้ว
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 1,250-3,400 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและขนาดยาง
-
Maxxis Premitra
ยางรถยนต์รุ่นกลางสำหรับรถเก๋งที่เน้นความคุ้มค่าด้วยคุณสมบัติของความนุ่มนวล เสียงรบกวนน้อย ให้การยึดเกาะถนนทั้งเปียดและแห้งเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป โดยมีให้เลือก 2 รุ่น คือ HP5 และ I-PRO
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 1,800-3,300 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและขนาดยาง
-
Maxxis HPM3
ยางรถยนต์สำหรับรถอเนกประสงค์ SUV หรือ PPV ที่ออกแบบให้มีความทนทานใช้งานได้นาน อีกทั้งยังเกาะถนนขึ้นด้วยร่องยางส่วนกลาง 4 แถว ที่ตื้นและละเอียด ดอกยางแนวขวางรีดน้ำได้เร็ว ลดเสียงรบกวน
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 2,400-6,400 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Maxxis Victra Sport
ยางรถยนต์แบบสปอร์ตสำหรับรถสมรรถนะสูงใช้ความเร็วเป็นประจำ มีรุ่นเดียวคือ VS5 ใช้ชั้นผ้าใบเส้นใย Aramid น้ำหนักเบาลดแรงต้านการหมุนของล้อ เพิ่มความแข็งบริเวณโครงสร้างแก้มยางโดยไม่กระทบต่อความนุ่มนวล เนื้อยางมีส่วนประกอบของซิลิกาช่วยให้มีความยืดหยุ่นสูงยึดเกาะถนนได้เต็มที่ขึ้น
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 3,650-7,400 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Maxiss MA-579
ยางรถกระบะและรถตู้รองรับการบรรทุกเบา โดยยางมีแถบป้องกันบริเวณขอบยางรวมถึงเพิ่มโครงยางชั้นใน รวมถึงเพิ่มเส้นลวดด้านในให้แข็งแรงขึ้นเพื่อความปลอดภัย
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 3,650-7,400 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
ยางรถยนต์ Apollo
-
Apollo Amazer 3G Maxx
ยางรถยนต์ประหยัดน้ำมัน ตัวยางผลิตจากยางที่ให้ความแข็งแรง ลายดอกยางเป็นแบบสมมาตร ช่วยลดการเกิดเสียงรบกวน นุ่ม เงียบ และประหยัดน้ำมันได้ดี เหมาะกับรถยนต์ขนาดเล็ก รถยนต์ Eco Car ไม่เน้นใช้ความเร็วสูงมากนัก
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 1,450-1,950 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
-
Apollo Alnac 4G
ยางรถยนต์นุ่มเงียบ ที่มีประสิทธิภาพการยึดเกาะที่ดีคล้ายยางรถยนต์แบบสปอร์ตทั้งบนถนนแห้งและเปียก ลายดอกยางมีคุณสมบัติรีดน้ำได้ดี ลดเสียงรบกวนขณะขับขี่ เหมาะสำหรับรถขนาดเล็ก และขนาดกลางที่ใช้ความเร็วสูงประมาณหนึ่ง
ราคาโดยประมาณ เส้นละ 1,825-2,550 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยาง
ความรู้เกี่ยวกับยางรถยนต์
วิธีเลือกซื้อยางรถยนต์
แม้หน้าที่หลักของยางรถยนต์จะซับแรงสะเทือน รับน้ำหนัก และช่วยให้รถยึดเกาะถนน แต่ยางรถยนต์ที่จำหน่ายนั้นถูกแยกย่อยเอาไว้หลายแบบสำหรับการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนั้น ก่อนที่เราจะเลือกเปลี่ยนยางรถยนต์ เราควรต้องทราบว่าลักษณะการใช้งานหรือพฤติกรรมการขับขี่เป็นยางไรเสียก่อนเพื่อจะได้เลือกยางรถยนต์ให้เหมาะสมถูกต้อง เช่น ใช้น้อย ระยะทางสั้น ๆ ขับไม่เร็ว อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยางรุ่นท็อป ราคาสูงสุดเสมอไป สามารถเลือกยางประหยัดน้ำมัน หรือยางแบรนด์ที่ราคาไม่แพงมากได้ เพราะใช้คุณสมบัติได้ไม่คุ้มค่า
แต่ถ้าชอบใช้ความเร็วสูง เน้นการยึดเกาะ ยางแบบสปอร์ตจะมีความเหมาะสมมากกว่า หรือกรณีชอบความนุ่ม เงียบ นั่งสบาย ควรต้องเลือกยางกลุ่มนุ่มเงียบ ซึ่งแต่ละยี่ห้อจะแบ่งประเภทยางใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ ควรเลือกยางรถยนต์ตามลักษณะรถ เช่น รถเก๋ง รถ Crossover SUV รถยนต์ไฟฟ้า รถกระบะ หรือยางออฟโรดโดยเฉพาะ เป็นต้น
นอกจากการเลือกประเภทยางให้เหมาะสมกับความต้องการแล้ว การซื้อยางรถควรพิจารณาถึงปีที่ผลิตซึ่งจะระบุไว้ที่แก้มยางและไม่ควรเลือกยางที่ผลิตนานมากเกินไป เพราะถึงยางจะไม่ถูกใช้งานแต่เนื้อยางจะเสื่อมสภาพตามเวลา หากได้ยางปีเก่ามาใช้จะทำให้อายุยางเสื่อมเร็วกว่ายางปีใหม่ทำให้ต้องเปลี่ยนยางเร็วขึ้นหรือประสิทธิภาพต่ำลงเร็วเมื่อเทียบกับยางปีใหม่กว่า เป็นต้น
ยางรถยนต์มีกี่แบบ
หากจะแบ่งประเภทของยางรถยนต์ตามสไตล์การขับขี่ หรือการใช้งานจะแบ่งออกเป็น 6 ประเภทหลัก ได้แก่ ยางนุ่มเงียบ, ยางประหยัดน้ำมัน, ยางสปอร์ตสมรรถนะสูง, ยางออฟโรด และยาง RunFlat โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
-
ยางนุ่มเงียบ
ยางรถยนต์ที่มีความโดดเด่นในเรื่องรองรับการกระแทกได้ดี ให้ความนุ่ม ลดเสียงรบกวน เนื้อยางออกแบบให้ลดการสั่นสะเทือน ร่องดอกยางละเอียด ตัวยางมีผิวสัมผัสที่กระจายแรงกดแบบสม่ำเสมอ
-
ยางประหยัดน้ำมัน
ยางรถยนต์ที่มีส่วนผสมของ Silica Filter ให้คุณสมบัติในการทนความร้อนได้ดีกว่าเมื่อเกิดแรงเสียดทานในขณะขับขี่ เนื้อยางไม่เหนียวเกาะถนนมากเกินไป ลดแรงต้านการหมุนของล้อ ทำให้เครื่องยนต์ไม่สูญเสียกำลังขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ ช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ประสิทธิภาพการเกาะถนนจะไม่สูงเท่ายางกลุ่มอื่นนัก
-
ยางสปอร์ต
ยางรถยนต์ที่มีคุณสมบัติการยึดเกาะ ให้ความมั่นคงดีกว่ายางชนิดอื่น ๆ ให้การควบคุมและการตอบสนองกับพวงมาลัยที่แม่นยำ เหมาะสำหรับการขับด้วยความเร็วและพื้นถนนที่เรียบ อาจจะรองรับแรงกระแทกได้ไม่มากเท่าไหร่เมื่อขับบนสภาพถนนที่มีพื้นผิวขรุขระ
-
ยางออฟโรด
ยางที่มีความสมบุกสมบัน มีความแข็งแกร่ง เหมาะกับการขับในทุกสภาพพื้นผิวไม่ว่าจะเป็นดินโคลน พื้นทราย ลุยน้ำ ฝนตก แดดออก ทางลาดชัน พื้นผิวขรุขระ มีแรงเกาะถนนเป็นเยี่ยมตอบสนองกับพวงมาลัยได้ดี
-
ยาง RunFlat
อีกหนึ่งเทคโนโลยียางรถยนต์ที่แม้ตัวยางจะเกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดปัญหาแต่รถจะยังสามารถขับได้อยู่ เช่น รั่ว หรือ ซึม ส่วนมากใช้ในรถยุโรปและราคายางค่อนข้างสูง
-
ยางรถยนต์ไฟฟ้า
เป็นยางที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าที่มักจะมีน้ำหนักมากกว่ารถปกติในขนาดที่เท่ากัน เนื่องจากต้องแบกแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ จึงจำเป็นต้องใช้ยางที่สามารถรองรับกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น โดยมีผลกระทบกับการดูดซับแรงสะเทือน เกาะถนนน้อยที่สุด รวมถึงการลดเสียงรบกวนขณะแล่น
วิธียืดอายุการใช้งานยางรถยนต์
แม้ยางรถยนต์จะเป็นอุปกรณ์ของรถยนต์ที่มีอายุ หรือมีวันที่จะเสื่อมสภาพไปตามการใช้งาน แต่ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคน สามารถที่จะยืดอายุการใช้งานยางรถยนต์ให้ยาวนานขึ้นได้ โดยขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของเรา
-
เช็กลมยาง และเติมลมยางให้พอดี
เราควรหมั่นตรวจเช็กลมยางรถยนต์สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ควรเติมลมยางให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะการเติมลมยางที่อ่อนหรือแข็งจนเกินไปจะส่งผลให้การสึกของดอกยางไม่เท่ากัน รวมถึงสมรรถนะขณะขับขี่ที่อาจด้อยประสิทธิภาพลง
-
สลับยาง ถ่วงล้อ และตั้งศูนย์
แม้ยางรถยนต์จะสัมผัสกับพื้นพร้อมกันทั้ง 4 ล้อ แต่การสึกของดอกยางจะไม่เท่ากัน โดยเฉพาะยางคู่หน้า ในรถยนต์ทั่วไปจะเป็นระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ทำให้ยางหน้าจะต้องรับแรงกระชากเมื่อรถออกตัว รวมถึงต้องแบกน้ำหนักของเครื่องยนต์ จึงจำเป็นต้องมีการสลับยาง เพื่อให้ดอกยางทั้ง 4 ล้อสึกเท่ากัน ร่วมถึงการตั้งศูนย์และถ่วงล้อ เพราะเมื่อใช้งานไปสักระยะการกระจายน้ำหนัก และศูนย์ของล้ออาจมีองศาที่เอียง ส่งผลให้การขับขี่ ควบคุมรถทำได้ไม่ดี
-
ลักษณะการขับรถ
ยางรถยนต์ถึงแม้จะมีคุณสมบัติการรับน้ำหนัก รองรับการกระแทกได้ดีแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าผู้ขับขี่ขับรถด้วยความไม่ระมัดระวัง เช่น ขับลงหลุมขับเบียดฟุตปาธ ไม่หลบสิ่งกีดขวา หักเลี้ยว หรือเบรกอย่างรุนแรง ก็จะทำให้อายุของยางนั้นสั้นลงกว่าค่าเฉลี่ยได้ หรือหากร้ายแรงจนถึงขั้นชำรุดก็เสี่ยงต่อการเกิดอย่างระเบิด แตกขณะขับขี่ได้เช่นกัน
เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนยางรถยนต์ ?
ค่าเฉลี่ยในการเปลี่ยนยางรถยนต์ในแต่ละครั้งส่วนใหญ่ผู้ผลิตมักกำหนดไว้ที่ 3 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร แต่ทั้งนี้ก้ขึ้นอยู่กับการใช้งานและลักษณะของการขับขี่ด้วยว่าเป็นอย่างไร แต่นอกจากตัวเลขค่าเฉลี่ยแล้ว ผู้ขับขี่ก็สามารถสังเกตลักษณะของยางรถยนต์ตัวเองได้เช่นกันว่าถึงเวลาเปลี่ยนแล้วหรือไม่โดยดูได้จาก
-
สะพานยาง
ให้สังเกตส่วนที่เป็นเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างดอกยาง หรือสะพานยาง ถ้าดอกยางสึกจนอยู่ในระดับเดียวกับสะพานยาง หรือใช้มือสัมผัสแล้วรู้สึกว่าสะพานยางอยู่ตื้นมาก นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าถึงเป็นต้องเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่แล้ว
-
ดอกยาง
โดยปกติดอกยางใหม่จะลึกประมาณ 8-9 มิลลิเมตร แต่ถ้าดอกยางเหลือไม่ถึง 3 มิลลิเมตร แล้ว ควรรีบเปลี่ยนยางรถยนต์ทันที หากไม่มีอุปกรณ์วัดสามารถตรวจสอบได้โดยการสังเกต หรือใช้ไม้ขีดไฟจิ้มลงไป หากมองเห็นหัวไม้ขีดไฟ ถือว่าดอกยางบาง และเหลือน้อยถึงเวลาเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่
-
ยางบวม
ยางบวมมักจะเกิดขึ้นบริเวณในส่วนของแก้มยาง ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากการขับรถเสียดสีอย่างรุนแรง อาจเป็นการชนขอบทางเท้า ขับรถตกหลุม รวมถึงยางที่ใช้ไม่มีประสิทธิภาพ หากฝืนใช้งานต่อไปอาจเสี่ยงต่อการเกิดยางระเบิด หรือยางแตกกลางทางได้
-
เช็กความแข็งกระด้าง-รอยแตกลายงา
ผิวยางรถยนต์ใหม่ ๆ จะมีความเงา เนื้อยางนิ่มระดับหนึ่ง แต่เมื่อผ่านการใช้งานไปสักระยะ ผิวยางจะเริ่มแข็งกระด้าง ไปจนถึงปรากฏรอยแตกลายงา ซึ่งจะส่งผลต่อความทนทานของแก้มยาง การเกาะถนน และเบรกเป็นอย่างมาก แม้จะยังไม่ถึงขั้นต้องเปลี่ยนในทันที แต่อายุของการใช้งานนั้นก็เหลือไม่มากเช่นกัน ควรหมั่นตรวจสอบเป้นประจำก่อนการขับขี่
ดูตัวเลขที่บริเวณแก้มยาง
ยางรถยนต์บางทีเมื่อสังเกตจากสภาพภายนอกอาจดูใหม่ ไร้ริ้วรอย แต่จริง ๆ อาจผลิตออกมาหลายปีแล้ว แม้จะยังใช้งานได้ แต่เนื้อยางนั้นจะเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ วิธีการดูปีที่ผลิตของยางรถยนต์นั้นดูได้จากตัวเลขบริเวณแก้มยาง
รหัส 4 ตัวบนแก้มยาง โดยจะระบุเป็น WW/YY หมายถึงสัปดาห์และปีที่ผลิต เช่น 0722 หมายถึงยางที่ผลิตในสัปดาห์ที่ 7 ปี 2022 หรือผลิตในช่วงสัปดาห์ที่ 1-2 ของเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 นั่นเอง (หนึ่งปีจะมี 52 สัปดาห์)
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงยางรถยนต์บางส่วนที่เราหยิบยกมาให้ดูกัน ส่วนยี่ห้อไหน รุ่นไหนจะมีขนาดใดบ้าง และราคาเท่าไร ควรสอบถามทางร้านหรือตัวแทนจำหน่ายก่อนทำการเปลี่ยนให้ละเอียดอีกครั้ง สำหรับใครที่งบน้อย การเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ หรือปีการผลิตใหม่ ๆ อาจมีราคาสูง การหันไปเลือกยางค้างปีหรือยางเปอร์เซ็นสามารถทำได้ แต่ประสิทธิภาพย่อมด้อยกว่าและต้องตรวจสอบปีที่ผลิต รวมถึงศึกษาวิธีดูยางรถยนต์หมดอายุก่อน แต่ที่สำคัญไม่ว่ายางรถยนต์จะมีประสิทธิภาพสูงแค่ไหน แต่ถ้าเราขับรถด้วยความประมาทก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้เช่นเดียวกัน
บทความที่เกี่ยวข้องกับยางรถยนต์
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : maxxis.co.th, hankooktire.com, yokohamathailand.com, dunloptire.co.th, bridgestone.co.th, michelin.co.th, goodyear.co.th, apollotyres.com