
ย้อนกลับไปช่วงต้นปี (มกราคม) 2560 เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ได้ทำการเปิดตัว Mercedes-Benz E-Class 2017 รุ่นประกอบไทย ทำราคาดีงามที่ 3.39-3.99 ล้านบาท ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย
จากนั้นอีก 4 เดือน (พฤษภาคม) เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ก็เปิดตัวซับแบรนด์อย่าง EQ (Electric Intelligence) พร้อมแนะนำยนตรกรรมรุ่นใหม่ Mercedes-Benz E 350 e 2017 ที่นำ Mercedes-Benz E-Class 2017 มาปรับเปลี่ยนเป็นขุมพลังเบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบ พร้อมทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ สามารถชาร์จไฟจากภายนอกได้ ที่เรียกกันว่า ปลั๊กอิน ไฮบริด ทั้งหมดนี้ปรับราคาขึ้นจากรุ่นดีเซล 100,000 บาท ทั้ง 3 รุ่นย่อย


.jpg)
ในเส้นทางที่ยาวไกลก็มีช่วงสับเปลี่ยนรถ ทีมกระปุกคาร์ได้จับฉลากรถ ตกไปที่ S-Class (S 500 e) 2 ครั้ง, C-Class (C 350 e) 1 ครั้งและ E-Class (E 350 e) อีก 1 ครั้ง ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีมากเพราะได้ลองฟีลลิ่งรถและออปชั่นเปรียบเทียบไปในตัว
ถึงกระนั้น เราก็ขอมุ่งถ่ายทอดประสบการณ์เกี่ยวกับ Mercedes-Benz E 350 e 2017 รุ่นย่อย Exclusive ส่วน S-Class (S 500 e) และ C-Class (C 350 e) อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ย้อนอ่านได้ที่นี่
รูปลักษณ์ดีไซน์ ภายนอก-ภายใน Mercedes-Benz E 350 e 2017 รุ่นย่อย Exclusive
เบนซ์ยังคงความคลาสสิกไว้อย่างเต็มเปี่ยม ด้วยกระจังหน้าโครเมียมและโลโก้เบนซ์แบบลอยตัวที่ฝากระโปรงหน้า ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ลาย 10 ก้าน โดยส่วนตัวผู้เขียนชื่นชอบลายนี้ที่สุด โดยรวมดูแล้วหรูหรางานเนี้ยบในทุกจุด ว่ากันตรง ๆ เบนซ์ในยุคปัจจุบันยึดภาษาการออกแบบไว้อย่างเหนียวแน่น หากคุณไม่ได้เป็นแฟนบอยเบนซ์ หรือติดตามวงการยานยนต์เห็นรถเบนซ์ C-Class, E-Class และ S-Class ก็อาจดูแล้วสบถในใจเบา ๆ ว่า "ต่างกันตรงไหน_ะ" ว่าแล้วก็ขอยกภาพ 3 พี่น้องให้รับชมกัน



สำหรับผู้ที่แยกออกว่า 3 ภาพด้านบนเป็นคลาสไหนบ้าง ขอปรบมือให้ว่าคุณมีความรู้และเป็นแฟนบอยเบนซ์พอตัวเลยทีเดียว ส่วนใครที่ไม่ทราบเราขอเฉลยว่าเป็น C-Class, E-Class และ S-Class เรียงจากบนลงล่างครับ



สุดท้ายคงเป็นสุนทรีทางด้านกลิ่นกับ AIR BALANCE สามารถเลือกกลิ่นได้ พร้อมปล่อยประจุลบ (ion) ที่ให้อากาศภายในห้องสดชื่น ระบบเอนเตอร์เทนเมนต์ก็รองรับทั้งแอปเปิลคาร์เพลย์และแอนดรอยด์ออโต้ แถมในทุกรุ่นย่อยให้ไวร์เลสชาร์จมา แต่มือถือไอโฟนที่ยังไม่รองรับก็ต้องเสียบอุปกรณ์เสริมกันหน่อย
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เสริมกำลังด้วยปลั๊กอิน ไฮบริด Mercedes-Benz E 350 e 2017 รุ่นย่อย Exclusive

จากตัวเลขเมื่อระบบทำงานร่วมกันเต็มที่จะเห็นได้ว่าไม่ใช่ค่าที่เครื่องยนต์+มอเตอร์ไฟฟ้าโดยตรง เพราะจะมีการสูญเสียทางเชิงกล เคลมอัตราสิ้นเปลือง 40-47.62 กม./ลิตร พร้อมด้วยการปล่อย CO2 เพียง 49-57 กรัม/กม. ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 33 กม.

ค่าสิ้นเปลืองระยะที่ใช้ระบบไฮบริด 0.3 ลิตร/100 กม. ในระยะ 12 กม. แรก
เอาล่ะ ตรงนี้เป็นประเด็นเรื่องค่าสิ้นเปลืองเฉลี่ย 40-47.62 กม./ลิตร เคลียร์ให้ชัดคือ "ค่าสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ทำงานร่วมกับระบบไฮบริด" แล้วเมื่อแบตเตอรี่หมดก็จะใช้เครื่องยนต์ปรกติ ซึ่งในทริปได้มีแข่งอัตราสิ้นเปลืองไว้

ผู้ทดสอบสามารถทำได้เฉลี่ยอยู่ที่ 6.9 ลิตร/100 กม. หรือราว ๆ 14.4 กม.ต่อลิตร โดยเส้นทางทดสอบมีระยะประมาณ 100 กม. ใช้ความเร็วเฉลี่ย 91 กม./ชม. ครับ ซึ่งเริ่มแรกอาจจะมีระบบไฮบริดเข้ามาร่วมด้วย แต่ด้วยทางที่ยาวแบตเตอรี่หมด ก็ใช้เครื่องยนต์สันดาปเพียงอย่างเดียว ในกรณีถ้าวิ่งจริงในเมืองที่ต้องมีการเบรก, จอดรถติดจะมีการเจเนอเรตไฟกลับเข้าแบตเตอรรี่ด้วย
ที่สำคัญ Mercedes-Benz E 350 e 2017 เป็นรถรุ่นแรกที่จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ (9G-TRONIC PLUS) ด้วยการสับเกียร์ที่เยอะทำให้ลื่นสมูทมากในการขับขี่ อีกทั้งการขับระยะไกลก็ประหยัดมาก ๆ เพราะหากใช้เกียร์ 9 วิ่งในความเร็วประมาณ 120 กม./ชม. เครื่องยนต์จะทำงานที่ราว ๆ 1,000 รอบ/นาที เท่านั้น
ฟีเจอร์และการควบคุม Mercedes-Benz E 350 e 2017 รุ่นย่อย Exclusive
อย่างที่บอกข้างต้นว่าออปชั่นการขับขี่ ดูล้ำทันสมัยเกินพี่ใหญ่อย่าง S-Class ด้วยระบบ Distance Pilot Distronic ระบบรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า เริ่มตั้งแต่ความเร็ว 0 กม./ชม. เลย หรือว่ากันง่าย ๆ เราแค่ประคองพวงมาลัย รถจะเบรกจนหยุด เร่งวิ่งต่อเองเสมอนระบบกึ่งอัตโนมัติ โดยความเร็วสูงสุดสามารถล็อกปรับได้ตามใจผู้ขับ
.jpg)

ระบบ Active Parking อัพเกรดขึ้นเหนือกว่าเดิมเยอะมาก ทั้งการเลือกจุดจอดได้ทั้งจอดตามขวาง และจอดแบบแนวลึก ระบบจะอ่านที่ว่างและให้เราเลือกจุดจอดได้ด้วย ที่สำคัญไม่ต้องคอยสับเปลี่ยนเกียร์เองแล้ว one stop button ปุ่มเดียวเสร็จเลย
ช่วงล่าง Airmatic ให้ความนุ่มนวลอย่างมากในการขับขี่ มีปุ่มกดที่สามารถปรับความสูงของตัวรถได้ พวงมาลัยให้การเลี้ยวที่เป็นธรรมชาติและคม บนเส้นทางล่องใต้ ที่การทำถนนช่วงทับสะแก ก็ผ่านได้โดยไม่เสียสุนทรีตลอดการเดินทางกว่า 800 กม. ไม่ทำให้คุณเหนื่อยล้าแน่นอน


The E 350 e Exclusive ราคา 3,790,000 บาท ** รุ่นที่ทดสอบ
The E 350 e AMG Dynamic ราคา 4,090,000 บาท
สรุปส่วนตัวจากผู้ทดสอบ
- "Mercedes-Benz E 350 e 2017 เป็นรถปลั๊กอิน ไฮบริด ที่ดูคุ้มค่า ลงตัวสุดของแบรนด์ EQ ณ. เวลานี้" ด้วยออปชั่นใหม่ที่ถูกบรรจุลงในรุ่นนี้ อย่าง Distance Pilot Distronic, Active Parking แบบใหม่, Dynamic Select ที่ปรับแต่งได้มากกว่า, ชุดอินโฟเทนเมนต์ที่รองรับแอปเปิลคาร์เพลย์/แอนดรอยด์ออโต้ และชุดเกียร์ส่งกำลัง 9 สปีด ที่แม้แต่ตัว S500e ก็ยังไม่มี
- ปรับราคาเพิ่ม 100,000 บาท ได้ทั้งไฮบริดและออปชั่นมากกว่ารุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเยอะ อย่างออปชั่นที่กล่าวไปด้านบน ช่วงล่างก็เปลี่ยนเป็น Airmatic, มีไวร์เลสชาร์จ และถุงลมนิรภัยที่เข็มขัดให้ด้วย
- แม้แบตเตอรี่จะหมด เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ให้กำลัง 211 แรงม้า ก็ขับสนุก แถมได้เกียร์ 9 สปีด ต่อให้วิ่งเครื่องยนต์สันดาปอัตราสิ้นเปลืองดีมากทีเดียว
สุดท้ายก็จบด้วยเรื่องดี ๆ โดยนายฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวไว้ว่า "นอกจากการจัดกิจกรรมทดสอบสมรรถนะของรถยนต์ในกลุ่มปลั๊กอิน ไฮบริด รุ่นต่าง ๆ แล้ว
อีกหนึ่งกิจกรรมที่จะตอกย้ำคุณค่าของแบรนด์ในด้าน "ความรับผิดชอบ" (Responsibility) ที่ทางบริษัทได้ยึดถือมาโดยตลอด คือ การสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อตอบแทนสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง บริษัทเล็งเห็นถึงความสำคัญของการศึกษา ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างและผลักดันเยาวชนให้เติบโตมาเป็นสมาชิกที่สำคัญของสังคมไทยและหนึ่งในความภาคภูมิใจของบริษัทคือ การให้การสนับสนุนในด้านต่าง ๆ แก่โรงเรียนเยาววิทย์ ในจังหวัดพังงา
โดยครั้งนี้บริษัทได้ร่วมกับคณะสื่อมวลชน ส่งมอบเงินสนับสนุนทางการศึกษาจำนวน 500,000 บาท พร้อมด้วยชุดอุปกรณ์เครื่องเขียน ซึ่งประกอบด้วย สมุดจดบันทึกที่มีตราประทับพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ดินสอ ยางลบ และกบเหลาดินสอจำนวน 300 ชุด ให้แก่เด็กนักเรียน ณ โรงเรียนเยาววิทย์ จ.พังงา"





