วิธีจั๊มพ์แบตฯ รถยนต์อย่างถูกต้องและปลอดภัย มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง หากแบตเตอรี่หมด สตาร์ตรถไม่ติด ควรแก้ปัญหายังไงมาดูกัน
วิธีการจั๊มพ์แบตฯ รถยนต์
การจั๊มพ์แบตเตอรี่รถยนต์ให้ปลอดภัย ไม่เสี่ยงที่จะเกิดอันตราย ควรทำตามขั้นตอนอย่างถูกวิธี ดังต่อไปนี้
1. ปิดสวิตช์และอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดของรถ
2. นำรถคันที่มีแบตเตอรี่ปกติมาจอดใกล้ ๆ เพื่อต่อสายพ่วงแบตเตอรี่
3. นำสายพ่วงแบตเตอรี่ขั้วบวก (สีแดง) ต่อกับแบตเตอรี่ขั้วบวกของรถคันที่แบตเตอรี่หมดก่อน แล้วมาต่อกับรถอีกคันที่มีแบตเตอรี่ปกติ
4. นำสายพ่วงแบตเตอรี่ขั้วลบ (สีดำ) ต่อกับแบตเตอรี่ขั้วลบของรถคันที่มีแบตเตอรี่ปกติ ส่วนอีกฝั่งให้หนีบที่โลหะในเครื่องยนต์ เพื่อเป็นการสร้างระบบกราวนด์ของแบตเตอรี่
5. สตาร์ตเครื่องยนต์รถคันที่มีแบตเตอรี่ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที แล้วเร่งเครื่องยนต์เล็กน้อย เพื่อให้แบตเตอรี่มีการไหลเวียนของประจุไฟฟ้า
6. สตาร์ตเครื่องยนต์รถคันที่แบตเตอรี่หมด พร้อมเร่งเครื่องในอัตรา 1,500-2,000 รอบต่อนาที เพื่อตรวจสอบว่ามีประจุไฟฟ้าเข้าหลังจากการชาร์จไฟแบตเตอรี่หรือไม่
7. ถอดสายพ่วงรถคันที่แบตเตอรี่หมด และถอดสายพ่วงรถคันที่มีแบตเตอรี่ปกติออก
8. นำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์และทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่
ข้อควรระวังในการจั๊มพ์แบตฯ รถยนต์
ก่อนจะทำการจั๊มพ์แบตเตอรี่รถยนต์ทุกครั้ง ควรรู้และตระหนักถึงข้อควรระวังต่าง ๆ อยู่เสมอ ดังนี้
1. ไม่สตาร์ตเครื่องยนต์และเปิดระบบไฟของรถทั้งสองคัน เพราะจะทำให้เกิดประกายไฟ ส่งผลให้เกิดการระเบิดได้
2. ไม่ต่อสายพ่วงเข้ากับขั้วลบของแบตเตอรี่ของรถคันที่แบตเตอรี่หมด เพื่อป้องกันแบตเตอรี่ระเบิด
3. ห้ามสูบบุหรี่ จุดไฟแช็ก หรือก่อให้เกิดประกายไฟ เพราะในขณะที่ต่อสายพ่วงแบตเตอรี่จะมีแก๊สบริเวณดังกล่าว ทำให้เกิดการระเบิดได้
4. สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาและถุงมือทุกครั้งที่สัมผัสแบตเตอรี่ เพราะน้ำกรดในแบตเตอรี่เป็นสารกัดกร่อน ทำให้ได้รับอันตรายได้
5. ระมัดระวังไม่ให้แบตเตอรี่เอียงหรือตะแคง เพราะน้ำกรดอาจรั่วไหลออกมาทางรูระบาย ก่อให้เกิดอันตรายได้
6. ระมัดระวังไม่ให้ปลายสายพ่วงแบตเตอรี่สัมผัสกัน เพราะจะทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร
จั๊มพ์สตาร์ต เป็นเครื่องเก็บประจุไฟฟ้าสำรองแบบพกพา สำหรับไว้ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ ในกรณีที่รถสตาร์ตไม่ติด เนื่องจากไฟในแบตเตอรี่มีไม่มากพอที่จะทำให้ไดสตาร์ตฉุดเครื่องยนต์ให้ทำงาน จึงต้องใช้การจั๊มพ์เพื่อช่วยสตาร์ตเครื่องยนต์ให้มีการจ่ายไฟตรงเข้าไดสตาร์ตโดยที่ไม่ผ่านแบตเตอรี่ ขนาดของตัวเครื่องนั้นจะมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก ไม่กินพื้นที่เวลาเก็บไว้บนรถ
โดยตัวเครื่องสามารถชาร์จเก็บประจุไฟไว้ในแบตเตอรี่ลิเทียมโพลีเมอร์ ซึ่งชาร์จได้ทั้งกับไฟบนตัวรถและไฟบ้านขนาด 220 โวลต์ ซึ่งจะใช้เวลาการชาร์จไฟเต็มประมาณ 6-8 ชม. ขึ้นอยู่กับขนาดความจุไฟฟ้าของเครื่องจั๊มพ์สตาร์ต
ทั้งนี้ นอกจากจะช่วยจั๊มพ์สตาร์ตรถให้ติดแล้ว อุปกรณ์ดังกล่าวยังสามารถนำมาชาร์จสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ก รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้งบางรุ่นยังมีไฟฉายหรือไฟกะพริบฉุกเฉินในตัว พร้อมกับมีหน้าจอแจ้งเตือนบอกปริมาณของแบตเตอรี่ว่าเหลือมากน้อยเพียงใดอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการจั๊มพ์แบตเตอรี่จะเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็สามารถทำเองได้ แต่ก็ต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อรถยนต์และตัวคุณเองครับ ซึ่งการรู้ถึงวิธีจั๊มพ์แบตฯ รถอย่างถูกต้องนั้นจะช่วยให้สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเมื่อรถสตาร์ตไม่ติดได้ไม่น้อยเลย
ขขอบคุณข้อมูลจาก : กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)