ของมันต้องมี...กระทรวงคมนาคมสหรัฐกำหนดมาตรฐานใหม่ ผู้ผลิตรถยนต์ต้องติดตั้ง "กล้องหลัง" ในรถยนต์ใหม่ที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ทุกคันเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ของมันควรต้องมีและอันที่จริง "กล้องหลัง" ในรถยนต์ใหม่ควรเป็นอุปกรณ์มาตรฐานมานานแล้ว ย้อนหลังไปตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ลงนามให้กระทรวงคมนาคมสหรัฐ (U.S. Department of Transportation หรือ DOT) กำหนดให้รถใหม่ทุกคันที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ต้องติดตั้งกล้องหลังเป็นอุปกรณ์มาตรฐานภายในปี 2011 แต่สำนักงานความปลอดภัยการจราจรทางหลวงแห่งชาติ (NHTSA) กลับได้รับคำสั่งให้เริ่มบังคับใช้มาตรฐานใหม่นี้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2561
ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป รถใหม่ที่จำหน่ายในสหรัฐฯ
ทุกคันจะต้องมี "กล้องหลัง" อยู่ในรายการอุปกรณ์มาตรฐาน
เพื่อลดอุบัติเหตุที่เกิดจากจุดบอดด้านหลังจนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งการเก็บข้อมูลของ NHTSA ในปี 2010 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากกรณีดังกล่าว 292 ราย และบาดเจ็บ 18,000 คน
อีกทั้งในจำนวนผู้เสียชีวิตนั้นมักจะเป็นเด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 5 ขวบ ถึง 44
เปอร์เซ็นต์
ก่อนหน้านี้ก็มีประเด็นดราม่าเกิดขึ้น โดยกลุ่มผู้บริโภคร่วมกับทนายได้ฟ้องร้องสำนักงานความปลอดภัยการจราจรทางหลวงแห่งชาติ (NHTSA) ในปี 2013 เพราะรู้สึกว่าไม่ได้พยายามผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์ติดตั้ง "กล้องหลัง" เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอย่างเต็มที่ หลังจากที่กระทรวงคมนาคมสหรัฐได้เตะถ่วงเลื่อนกำหนดเส้นตายจากปี 2011 ออกไปเป็นต้นปี 2015
กลุ่มผู้บริโภคยังคาดหวังด้วยว่าภายในปี 2022 รถยนต์ใหม่ทุกคันที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ควรจะต้องมีระบบช่วยขับขี่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น
- เบรกอัตโนมัติ พร้อมแจ้งเตือนการชนด้านหน้า
- ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา
- ระบบแจ้งเตือนการเปลี่ยนช่องทางจราจร
โดยช่วงต้นปี 2016 สำนักงานความปลอดภัยการจราจรทางหลวงแห่งชาติ (NHTSA) และสถาบันประกันภัยเพื่อความปลอดภัยบนทางหลวงของสหรัฐอเมริกา (IIHS) ได้มีการทำข้อตกลงร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ที่จำหน่ายในอเมริกาเกือบทั้งหมด รวม 20 ราย จะติดตั้งระบบระบบเบรกอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking หรือ AEB) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์ใหม่ทุกคันภายในปี 2022 ซึ่งมีผู้ผลิตรถยนต์ไม่กี่ราย เช่น Mercedes-Benz, Volvo และ Toyota ได้เริ่มติดตั้งระบบ AEB เป็นอุปกรณ์มาตรฐานแก่รถยนต์ใหม่ทุกคันที่จำหน่ายในสหรัฐฯ แล้ว ส่วนที่เหลือก็ต้องรอดูกันต่อไป
สำหรับประเทศไทยมักใช้วิธีเชิญชวนมากกว่าออกมาตรการบังคับ ล่าสุดรถยนต์ที่ติดกล้องบันทึกภาพขณะขับขี่จะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัย 5-10% ส่วนออปชั่นความปลอดภัยของรถยนต์ที่ยุคนี้ถือว่าเบสิกคือ ABS และ ESC เป็นเกณฑ์บังคับในโครงการอีโคคาร์เฟสสอง
ภาพประกอบจาก honda, nissan, toyota
ของมันควรต้องมีและอันที่จริง "กล้องหลัง" ในรถยนต์ใหม่ควรเป็นอุปกรณ์มาตรฐานมานานแล้ว ย้อนหลังไปตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ลงนามให้กระทรวงคมนาคมสหรัฐ (U.S. Department of Transportation หรือ DOT) กำหนดให้รถใหม่ทุกคันที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ต้องติดตั้งกล้องหลังเป็นอุปกรณ์มาตรฐานภายในปี 2011 แต่สำนักงานความปลอดภัยการจราจรทางหลวงแห่งชาติ (NHTSA) กลับได้รับคำสั่งให้เริ่มบังคับใช้มาตรฐานใหม่นี้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2561
ก่อนหน้านี้ก็มีประเด็นดราม่าเกิดขึ้น โดยกลุ่มผู้บริโภคร่วมกับทนายได้ฟ้องร้องสำนักงานความปลอดภัยการจราจรทางหลวงแห่งชาติ (NHTSA) ในปี 2013 เพราะรู้สึกว่าไม่ได้พยายามผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์ติดตั้ง "กล้องหลัง" เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอย่างเต็มที่ หลังจากที่กระทรวงคมนาคมสหรัฐได้เตะถ่วงเลื่อนกำหนดเส้นตายจากปี 2011 ออกไปเป็นต้นปี 2015
กลุ่มผู้บริโภคยังคาดหวังด้วยว่าภายในปี 2022 รถยนต์ใหม่ทุกคันที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ควรจะต้องมีระบบช่วยขับขี่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น
- เบรกอัตโนมัติ พร้อมแจ้งเตือนการชนด้านหน้า
- ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา
- ระบบแจ้งเตือนการเปลี่ยนช่องทางจราจร
โดยช่วงต้นปี 2016 สำนักงานความปลอดภัยการจราจรทางหลวงแห่งชาติ (NHTSA) และสถาบันประกันภัยเพื่อความปลอดภัยบนทางหลวงของสหรัฐอเมริกา (IIHS) ได้มีการทำข้อตกลงร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ที่จำหน่ายในอเมริกาเกือบทั้งหมด รวม 20 ราย จะติดตั้งระบบระบบเบรกอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking หรือ AEB) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์ใหม่ทุกคันภายในปี 2022 ซึ่งมีผู้ผลิตรถยนต์ไม่กี่ราย เช่น Mercedes-Benz, Volvo และ Toyota ได้เริ่มติดตั้งระบบ AEB เป็นอุปกรณ์มาตรฐานแก่รถยนต์ใหม่ทุกคันที่จำหน่ายในสหรัฐฯ แล้ว ส่วนที่เหลือก็ต้องรอดูกันต่อไป
สำหรับประเทศไทยมักใช้วิธีเชิญชวนมากกว่าออกมาตรการบังคับ ล่าสุดรถยนต์ที่ติดกล้องบันทึกภาพขณะขับขี่จะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัย 5-10% ส่วนออปชั่นความปลอดภัยของรถยนต์ที่ยุคนี้ถือว่าเบสิกคือ ABS และ ESC เป็นเกณฑ์บังคับในโครงการอีโคคาร์เฟสสอง
ภาพประกอบจาก honda, nissan, toyota