อาจเรียกได้ว่า Tesla เป็นแบรนด์รถไฟฟ้าที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ยานยนต์และประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คงจะไม่ผิดนัก และก่อนที่จะกล่าวถึง Tesla Model 3 รถซีดานรุ่นเล็กคันล่าสุดของ Tesla เราลองมาย้อนดูความน่าทึ่งของรถแบรนด์นี้กันสักหน่อย
รถคันแรกที่ทำให้ Tesla สามารถยืนหยัดมาจนเปิดตัว Tesla Model 3 ได้นั้นเริ่มต้นจาก Tesla Roadster รถสปอร์ตพลังไฟฟ้าที่ใช้พื้นฐานจาก Lotus Elise ในปี 2008 ด้วยราคาสูงถึง 1 แสนดอลลาร์สหรัฐนั้น สามารถขายได้มากกว่า 2,000 คันใน 30 ประเทศทั่วโลก ซึ่ง Tesla ทำให้ภาพลักษณ์ของรถไฟฟ้าที่เคยดูน่าเกลียด วิ่งได้ช้าระยะทางสั้นนั้นเปลี่ยนไปตลอดกาลทันที
Tesla Model S
Tesla Model X
Tesla Model X
4 ปีหลังจากนั้น Tesla Model S รถสปอร์ตซีดานขนาดใหญ่ รูปทรงทันสมัยหรูหราพร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำอย่างระบบช่วยเหลือการขับขี่ Autopilot ถูกเปิดตัวต่อสายตาชาวโลกอีกครั้งด้วยจำนวนการผลิตขนาดกลางแต่มีราคาเริ่มต้นที่พอจับต้องได้ไปจนถึงราคาสูงเท่า ๆ กับ Tesla Roadster (ประมาณ 60,000-100,000 ดอลลาร์สหรัฐ)
แน่นอนว่ามันประสบความสำเร็จอย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง ด้วยยอดขายรวมเกิน 100,000 คัน ไปเมื่อสิ้นปี 2015 และเป็นเวลาเดียวกับการเปิดตัว Tesla Model X ครอสโอเวอร์สุดล้ำด้วยบานประตูคู่หลังเปิดออกได้แบบปีกนกสำหรับรุ่นผลิตจริงซึ่งเป็นอะไรที่เกินความคาดหมายมาก
Tesla Model 3
Tesla Model 3 คือรถซีดานพลังไฟฟ้าคันล่าสุดจาก Tesla โดยจะเป็นรถยนต์รุ่นเล็กขนาด 5 ที่นั่ง ระดับพรีเมียมที่จะผลิตจำนวนมากและมีราคาที่เป็นมิตรมากขึ้น มีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาต่ำกว่า 6 วินาที และมีพิสัยการเดินทางได้ไกลถึง 340 กิโลเมตร สำหรับการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้งเท่านั้น
การออกแบบภายนอกของ Tesla Model 3 ยังคงมีสไตล์คล้ายกับ Model S ผสมกับ Model X แต่ด้วยขนาดที่เล็กจึงได้เพิ่มความสูงของตัวรถให้มากกว่า Model S รวมถึงการเขยิบผนังกั้นห้องโดยสารไปทางด้านหน้ารถมากขึ้น (เพราะไม่จำเป็นต้องมีเครื่องยนต์) และใช้หลังคากระจกแบบ Panoramic ซึ่งเป็น 2 ปัจจัยหลักที่ทำให้ภายในกว้างขวางมีบรรยากาศโปร่งโล่งสบายสำหรับการโดยสาร
ส่วนการออกแบบภายในนั้นเน้นความเรียบง่าย ประณีตและล้ำอนาคตโดยมีจอแสดงผลแบบลอยตัวขนาดใหญ่มากบริเวณคอนโซลกลางเพื่อแสดงข้อมูลและควบคุมระบบการทำงานต่าง ๆ ใน Tesla Model 3 แต่ไม่แน่ใจว่าในคันที่ผลิตจริงจะมีให้เหมือนกับคันที่เปิดตัวในงานหรือไม่อย่างไร ซึ่งสำหรับ Tesla แล้วอะไรก็ล้วนน่าจะเป็นไปได้ทั้งสิ้น
Supercharger
Destination Charger
Destination Charger
สำหรับทางด้านขุมพลังแน่นอนว่า Tesla Model 3 จะขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าและอย่างที่ได้เกริ่นไว้ในตอนต้น รถรุ่นนี้จะมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลาต่ำกว่า 6 วินาที วิ่งได้ไกล 340 กิโลเมตรด้วยแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน
สามารถชาร์จไฟผ่าน Superchargers (จุดบริการชาร์จไฟคล้ายสถานีบริการน้ำมัน) และ Destination Chargers (จุดชาร์จไฟที่มีบริการในสถานที่ต่าง ๆ เช่น โรงแรม ร้านอาหารและห้างสรรพสินค้า) ที่ตอนนี้ทั่วโลกมีอยู่กว่า 3,600 จุด และจะขยายเป็น 7,200 จุด สำหรับ Superchargers และ 15,000 จุด สำหรับ Destination Chargers ภายในปีหน้า
ทั้งนี้โชว์รูมและศูนย์บริการของ Tesla ในปัจจุบันมีจำนวน 215 แห่งในอเมริกาเหนือ ยุโรปรวมถึงเอเชียแปซิฟิก ซึ่งภายในปี 2017 จะเพิ่มเป็น 441 แห่ง โดย Tesla Model 3 ตั้งราคาไว้ 35,00 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มต้นส่งมอบได้ปลายปี 2017 อีกทั้งยังผ่านมาตรฐานความปลอดภัยรวมในสหรัฐอเมริการะดับ 5 ดาว และติดตั้งระบบช่วยเหลือการขับขี่ Autopilot มาให้ด้วยเช่นกัน
สำหรับชาวไทยคงได้แต่นั่งมองตาปริบ ๆ ไปก่อน เพราะจนถึงตอนนี้ตัวแทนจำหน่าย Tesla ในประเทศไทยที่เกือบจะได้เปิดตัวนั้นก็มีอันถูกยกเลิกไปโดยสาเหตุที่แท้จริงนั้นยังคงเป็นปริศนา
ภาพจาก Tesla