10 คลาสสิกคาร์ที่ควรค่าแก่การทำความรู้จัก

รถคลาสสิกคาร์

          เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ารถคลาสสิกทุกคันเป็นรถเก่า แต่ไม่ได้หมายความว่ารถเก่าทุกคันนั้นจะเป็นรถคลาสสิกทั้งหมด เพราะการที่รถหนึ่งคันจะกลายเป็นรถคลาสสิกได้นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

          ตามหลักสากลแล้วจะแบ่งเป็นรถยุคก่อนสงครามก่อนปี ค.ศ. 1940, ยุคหลังสงคราม ค.ศ. 1940-1955 และรถคลาสสิกหมายถึงรถที่มีอายุเกิน 25 ปีขึ้นไป (นับตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มวางจำหน่าย) ที่สำคัญคือรถยนต์ที่จะเป็นรถคลาสสิกได้นั้นต้องมีความสำคัญหรือคุณค่าทางประวัติศาสตร์ อย่างนวัตกรรมใหม่ หรืออาจเป็นจำนวนการผลิตที่น้อยและหายาก เป็นต้น

          ทำให้รถแต่ละคันเมื่อมีอายุเกิน 25 ปีไปแล้วนั้นไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการยอมรับในฐานะรถคลาสสิกเสมอไป เราเลยนำเอารถยนต์คลาสสิกที่จัดอันดับโดยเว็บไซต์ Carophile ว่าเป็น 10 Sweet Classic Cars มาให้ชมกันเป็นตัวอย่าง และในไทยเองก็มีรถที่อยู่ใน 10 คันนี้อยู่ด้วยหลายคัน

ฟอร์ด โมเดล ที ปี 1908 (Ford Model T) : รถก่อนสงคราม

รถคลาสสิกคาร์

          Ford Model T ซึ่ง Ford ได้เริ่มพัฒนารถต้นแบบมาตั้งแต่ตัวอักษร A จนสำเร็จใน Model T หรือมักเรียกกันในชื่อเล่นว่า ทิน ลิซซี่ (Tin Lizzie) ซึ่ง Ford Model T นับได้ว่าเป็นการปฏิวัติวงการยานยนต์ด้วยรถยนต์ที่มีราคาถูกจนคนทั่วไปสามารถซื้อหาได้เป็นครั้งแรก

          ในขณะนั้นรถยนต์ยังเป็นของหรูหราที่มีราคาแพง โดยการลดต้นทุนด้วยสายการผลิตในแบบจำนวนมาก (Mass Production) เครื่องยนต์ของ Ford Model T เป็นแบบ 4 สูบ ขนาดความจุ 2.9 ลิตร ให้กำลัง 20 แรงม้า สามารถทำความเร็วได้ประมาณ 64-72 กม./ชม. และมีจำนวนการผลิตขึ้นทั้งหมดมากกว่า 15 ล้านคัน
   
โรลส์-รอยซ์ แฟนทอม 1 ปี 1925 (Rolls-Royce Phantom I) : รถก่อนสงคราม

รถคลาสสิกคาร์

          Rolls-Royce Phantom I ถูกสร้างขึ้นและเปิดตัวในปี 1925 เพื่อทดแทน Rolls-Royce Silver Ghost ซึ่งได้ถูกยกย่องว่าเป็นรถที่ดีที่สุดในโลกด้วย เครื่องยนต์ 40/50 แรงม้า (หมายความว่าจ่ายภาษีในอัตรา 40 แรงม้า/กำลังจริงมี 50 แรงม้า) จากเครื่องยนต์แถวเรียง 6 สูบ วาล์วเหนือสูบก้านกระทุ้ง (OHV) ฝาสูบอะลูมิเนียม กระบอกสูบแยกออกเป็น 2 ชุด ชุดละ 3 สูบ ขนาดความจุรวม 7.7 ลิตร

          Rolls-Royce Phantom I มีจำนวนการผลิตทั้งสิ้น 3,509 คัน โดยแบ่งเป็นในอังกฤษ 2,269 คัน และในอเมริกา 1,290 คัน ในแบบ Rolling Chassis ซึ่งส่วนของงานตัวถังในยุคนั้นยังนิยมใช้ Coach builder เป็นหลัก

บูกัตติ รอแยล ปี 1931 (Bugatti Royale) : รถก่อนสงคราม

รถคลาสสิกคาร์

          Bugatti Royale หรือ Bugatti Type 41 คือรถหรูหราของฝรั่งเศสที่สร้างโดย เอตโตเร่ บูกัตติ (Ettore Bugatti) ช่วงปี 1927-1933 ที่มีขนาดใหญ่โตอลังการด้วยความยาวตัวถัง 6.4 เมตร ฐานล้อยาว 4.3 เมตร น้ำหนักโดยประมาณมากถึง 3,175 กิโลกรัม

          มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่โตแบบ 8 สูบ ขนาดความจุ 12.7  ลิตร ที่ให้กำลัง 275-300 แรงม้า ซึ่งนับได้ว่าเป็นหนึ่งในรถที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดย Ettore Bugatti ตั้งเป้าที่จะผลิตจำหน่ายสำหรับลูกค้าที่จงรักภักดีไว้มากถึง 25 คัน แต่อย่างไรก็ตาม Bugatti Royale ได้ถูกผลิตขึ้นมาทั้งหมดแค่ 6 คัน ซึ่งขายได้เพียงครึ่งเดียวจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1930

อัลฟา โรมิโอ 8ซี 2900บี ปี 1938 (Alfa Romeo 8C 2900B) : รถก่อนสงคราม

รถคลาสสิกคาร์

          Alfa Romeo 8C 2900B เปรียบเสมือนรถถนนที่กลายร่างมาจากรถแข่งอย่าง  Alfa Romeo 8C 2900A สัญชาติอิตาเลียน ที่สร้างขึ้นเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันสำคัญอย่าง มิลเล มิเลีย (Mille Miglia) รวมถึงสนามอื่น ๆ

          ใช้เครื่องยนต์ที่มีความล้ำสมัยแบบแถวเรียง 8 สูบ DOHC ขนาดความจุ 2.9 ลิตร พ่วงซูเปอร์ชาร์จ ที่ให้กำลัง 180 แรงม้า ซึ่ง Alfa Romeo 8C 2900B แตกต่างจาก Alfa Romeo 8C 2900A ที่เกิดมาเพื่อเป็นรถแข่งเต็มตัวด้วยความสบายในการใช้งานมากกว่าในแบบรถถนน

          มีให้เลือกทั้งแบบ ฐานล้อสั้น Corto(Short) และฐานล้อยาว Lungo (Long) ตัวถังส่วนใหญ่ประกอบโดย Coach builder อย่างการอซเซอร์เรีย ทัวร์ริ่ง (Carrozzeria Touring) และบางส่วนเป็นงานของ ปินินฟารีนา (Pininfarina) โดย Alfa Romeo 8C 2900B ผลิตขึ้นทั้งหมด จำนวน 32 คัน แบ่งเป็น 10 คันในปี 1937 และอีก 22 คันในปี 1938

เดอลาเฮย์ 165 คาบริโอเล่ท์ ปี 1938 (Delahaye 165 Cabriolet) : รถก่อนสงคราม

รถคลาสสิกคาร์

          เดอลาเฮย์ ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ศักดิ์สูงเก่าแก่ของฝรั่งเศส ซึ่งจุดเด่นของ Delahaye 165 Cabriolet นั้นอยู่ที่การออกแบบตัวถังทรงหยดน้ำได้สวยงามในเชิงศิลป์บนแชสซีส์ของรถแข่งอย่าง Delahaye V-12 145

          สมัยนั้นผู้ออกแบบเข้าใจว่าตัวถังแบบนี้จะช่วยทำให้รถลู่ลมได้ดี เปิดตัวครั้งแรกที่งาน ปารีส มอเตอร์โชว์ ปี 1938 ต่อมาคันที่สองถูกสร้างขึ้นในปีเดียวกันเพื่อจัดแสดงในพาวิลเลียนของฝรั่งเศส งาน นิวยอร์ก เวิลด์ แฟร์ ซึ่งใน Delahaye 165 Cabriolet ไม่ได้มีการติดตั้งเครื่องยนต์ V12  อย่างในคันแรก

          ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 ส่งผลกระทบให้ Delahaye ต้องหยุดชะงักลงไปนานถึง 6 ปี แต่ท้ายที่สุด Delahaye 165 Cabriolet ก็ได้วางจำหน่ายในแคลิฟอร์เนียสำเร็จและเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ V8 ของคาดิลแลค (Cadillac) ร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ

เมอร์เซเดส-เบนซ์ 300 เอสแอล ปี 1955 (Mercedes-Benz 300 SL) : รถหลังสงคราม

รถคลาสสิกคาร์

          Mercedes-Benz 300 SL เรียกได้ว่าเป็นรถสปอร์ตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของ Mercedes-Benz ได้รับการพัฒนามาจากพื้นฐานของรถแข่งอย่าง W194 ที่โด่งดัง และทำให้ Mercedes-Benz 300 SL นั้นโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างประตูปีกนกนางนวล (Gull Wing)

          Mercedes-Benz 300 SL ยังเป็นรถยนต์ผลิตจำหน่ายจริงที่ใช้เครื่องยนต์หัวฉีดครั้งแรกในโลก สามารถทำความเร็วสูงสุด 259 กม./ชม. ด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ขนาดความจุ 3.0 ลิตร ให้กำลัง 215 แรงม้า ซึ่งมีกำลังมากกว่าเท่าตัวจาก Mercedes-Benz 300 Sedan ที่มีกำลังแค่ 115 แรงม้า ทำให้ Mercedes-Benz 300 SL ครองตำแหน่งรถยนต์ Production Car ที่เร็วที่สุดในขณะนั้น และอาจกล่าวได้ว่านี่คือต้นกำเนิดของซูเปอร์คาร์ในยุคแรก ๆ

เฟอร์รารี่ 250 เทสตา รอสซา ปี 1958 (Ferari 250 Testa Rossa) : รถคลาสสิก

รถคลาสสิกคาร์

          Ferrari TR หรือ Testa Rossa ถือเป็นผลงานชิ้นที่สองของ Ferrari ที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าและมูลค่ามหาศาลตาม Ferrari 250 GTO มาติด ๆ ซึ่ง Ferrari TR นั้นสร้างขึ้นมาเพียง 21 คัน จาก 2 โรงงาน และมีลูกค้าที่ได้ครอบครองเพียง 19 รายเท่านั้น

          โดย 250 Testa Rossa ปี 1957 ถูกประมูลไปด้วยราคาที่สูงถึง 16,400,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยก็ตกอยู่ราว ๆ กว่า 500 ล้านบาท ซึ่งที่มาของคำว่า Testa Rossa นั้นมีความหมายในภาษาอังกฤษว่า Red Head ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฝาครอบวาล์ว และรหัส Testa Rossa ถูกสงวนไว้สำหรับเครื่องยนต์ 12 สูบเท่านั้น

          งานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษของ Ferrari Testa Rossa คือบังโคลนหน้าจะแยกออกดูลอยตัวออกมาจากตรงส่วนกลางของตัวถังทำให้ดูคล้ายทุ่น (Pontoon) ซึ่งหลังจากปี 1958 Ferrari Testa Rossa ได้มีการปรับเปลี่ยนทรงตัวถังให้ถูกต้องตามหลักอากาศพลศาสตร์มากยิ่งขึ้นในสไตล์ "ขวดโค้ก"

ฟาเซล วีก้า เอชเค500 ปี 1959 (Facel Vega HK500) : รถคลาสสิก

รถคลาสสิกคาร์

          Facel Vega HK500 ถือเป็นผลงานของผู้ผลิตรถยนต์ระดับสูงจากฝรั่งเศสอีกหนึ่งราย โดยรุ่น HK500 เปิดตัวในปี 1959 ซึ่งได้รับการปรับปรุงต่อจากรุ่น FVS(Facel Vega Sport) FVS รุ่นปี 1956 ที่ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาดความจุ 5.8 ลิตร 335 แรงม้า มาเป็นเครื่องยนต์จากไครสเลอร์ แบบ V8 ขนาดความจุ 6.3 ลิตร ให้กำลัง 364 แรงม้า ทำความเร็วได้สูงสุด 236 กม./ชม.

          โดยมีดิสก์เบรกให้เลือกติดตั้งเป็นอุปกรณ์สั่งพิเศษในช่วงแรก และหลังจากนั้นไม่นานได้เปลี่ยนมาติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากนี้จุดเด่นของ Facel Vega HK500 อยู่ที่กระจกบังลมหน้าเป็นแบบพาโนรามิกที่โอบล้อมมาถึงด้านข้างตัวรถ อีกทั้งยังมีพวงมาลัยพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรง

          ภายในได้รับการประดับประดาอย่างหรูหราด้วยงานหนังและลายไม้โดยช่างฝีมือที่ประณีตรวมถึงแผงหน้าปัดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอากาศยานด้วยมาตรวัดทรงกลมเรียงรายอยู่บริเวณคอนโซลกลาง นอกจากนี้เบาะหลังยังพับได้แบบราบเรียบเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระแบบรถยุคใหม่ ซึ่ง Facel Vega HK500 ถูกผลิตขึ้นมาทั้งหมดจำนวน 842 คัน ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยรุ่น Facel Vega II ในเวลาต่อมา
 
จากัวร์ อี-ไทป์ ปี 1961 (Jaguar E-Type) : รถคลาสสิก

รถคลาสสิกคาร์

          จากัวร์ อี-ไทป์ มีการผลิตตั้งแต่ปี 1961 จนถึงปี 1975 ด้วยรูปทรงที่งดงามในเชิงศาสตร์และศิลป์ซึ่งถูกต้องตามหลักอากาศพลศาสตร์ มีสมรรถนะสูงในราคาที่เหมาะสม นอกจากนี้จากัวร์ อี-ไทป์ ยังเป็นรถที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างดิสก์เบรก ซึ่งในขณะนั้นรถยนต์ส่วนใหญ่ยังใช้ดรัมเบรกเป็นหลัก รวมถึงระบบกันสะเทือนหลังแบบอิสระ คอยล์สปริง, พวงมาลัยแบบลูกปืนหมุนวนแร็คแอนด์พิเนียน

          โครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อก บนพื้นฐานของรถแข่งอย่าง จากัวร์ อี-ไทป์ โดยในซีรีส์ 1 นั้นใช้เครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์แบบ 6 สูบ ขนาดความจุ 3.8 ลิตร ให้กำลังสูงถึง 265 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 241 กม./ ชม.

          ห้องโดยสารภายในตกแต่งด้วยเบาะหนังแบบบักเก็ตซีต แผงอุปกรณ์ต่าง ๆ ตกแต่งด้วยอะลูมิเนียม แผงหน้าปัดหุ้มด้วยไวนิล หลังคาแข็งถอดออกได้ ซึ่งจากัวร์ในซีรีส์ 1 นั้นผลิตขึ้นทั้งหมดด้วยจำนวนทั้งสิ้น 38,419 คัน ก่อนที่ซีรีส์ 2 จะตามออกมาใน ปี 1968

 ฟอร์ด มัสแตง ปี1964 (Ford Mustang) : รถคลาสสิก

รถคลาสสิกคาร์

          Ford Mustang ในปัจจุบันได้กลายเป็นหนึ่งในตัวแทนของมัสเซิลคาร์ของอเมริกัน ซึ่งเดิมทีนั้น Ford Mustang ได้ต้นแบบมาจากการเป็นเพียง Pony Car อีกทั้งยังเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ เชฟโรเลต คามาโร, พอนทิแอค ไฟร์เบิร์ด และดอดจ์ ชาเลนเจอร์

          โดยใน Ford Mustang ได้ละทิ้งการออกแบบของรถทรงสปอร์ต 2 ที่นั่งไปแทนที่ด้วยการเป็นรถสปอร์ตแบบ 4 ที่นั่ง เนื่องจากยอดขายที่ตกต่ำของรุ่น ธันเดอร์เบิร์ด ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ซึ่งเบาะด้านหน้าของ Ford Mustang เป็นแบบบักเก็ตซีต ในขณะที่เบาะด้านหลังอาจไม่เหมาะสมต่อการใช้งานจริงได้มากนัก

          นอกจากนี้ Ford Mustang ยังถูกใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง เจมส์ บอนด์ ตอน โกลด์ฟิงเกอร์ อีกด้วย ซึ่งในยุคนั้นมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2,368 ดอลลาร์ หรือประมาณ 74,000 บาท และภายหลังจากเปิดตัวได้ภายใน 3 เดือน  Ford Mustang ก็ได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยอดขายถล่มทลายทะลุ 100,000 คัน

          อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของยานยนต์ที่เรียกได้ว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และสามารถสะท้อนวิถีชีวิต สภาพทางสังคมในแต่ละยุคได้เป็นอย่างดี ซึ่งยังคงมีรถโบราณหรือรถคลาสสิกอีกจำนวนมากที่มีความสำคัญในหลาย ๆ ด้าน อีกทั้งยังหาโอกาสที่จะได้สัมผัสหรือแม้แต่พบเห็นก็เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ

ภาพจาก Carophile

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
10 คลาสสิกคาร์ที่ควรค่าแก่การทำความรู้จัก อัปเดตล่าสุด 20 มิถุนายน 2564 เวลา 22:17:46 63,830 อ่าน
TOP
x close