Xiaomi SU7 เปิดรับจอง 24 ชั่วโมงแรก กวาดยอดไปได้เกือบ 90,000 คัน ราคาเริ่มต้น 215,900 หยวน ถูกกว่า Tesla Model 3 ซึ่งอาจทำให้ Xiaomi SU7 ที่ขายไปไม่ได้กำไรสักคัน
Xiaomi SU7 (เสียวหมี่ เอสยู 7) รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของ Xiaomi เปิดราคาเริ่มต้นเพียง 215,000 หยวน หรือประมาณ 1,094,000 บาท ต่ำกว่า Tesla Model 3 พร้อมเปิดรับจองอย่างเป็นทางการ โดยมีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก เพราะเพียงแค่ 24 ชั่วโมงแรกก็กวาดยอดไปได้สูงถึง 88,898 คัน แต่ Xiaomi อาจขาดทุนทุกคัน
โดย Xiaomi SU7 หรือ Speed Ultra 7 ที่เปิดวางจำหน่ายในจีน จะมีให้เลือก 3 รุ่นย่อย เริ่มจาก Standard ราคา 215,000 หยวน (ประมาณ 1.09 ล้านบาท) Pro ราคา 245,900 หยวน (ประมาณ 1.25 ล้านบาท) และ Max ราคา 299,900 หยวน (ประมาณ 1.52 ล้านบาท) ซึ่งถูกกว่า Tesla Model 3 หากเทียบกันระหว่างรุ่นเริ่มต้นกับรุ่นท็อปที่มีจำหน่ายในจีน 2 รุ่น
ทั้งนี้ การเปิดรับจองของ Xiaomi SU7 จะมีทั้งแบบวางเงินจอง 5,000 หยวน (ประมาณ 25,000 บาท) ซึ่งสามารถยกเลิกการจองและขอเงินคืนได้ภายใน 7 วัน กับแบบที่เปิดให้ลูกค้ากำหนดการปรับแต่งได้ล่วงหน้า แต่หากยกเลิกการจองจะไม่ได้รับเงินคืน
นอกจากนี้ Xiaomi SU7 จะมีรุ่นพิเศษสำหรับช่วงเปิดตัว คือ Xiaomi Founder Edition จำกัดจำนวนผลิตเพียง 5,000 คัน ราคาเท่ากับรุ่น Standard และต้องวางเงินจอง 20,000 หยวน (ประมาณ 100,000 บาท) พร้อมเริ่มส่งมอบวันที่ 3 เมษายน 2567 เป็นต้นไป โดยไม่สามารถขอเงินคืนได้หากยกเลิกการจอง
ถึงแม้ Xiaomi SU7 จะกวาดยอดจองได้มากมาย แต่ Xiaomi ก็ยอมรับเองว่าอาจต้องขายแบบขาดทุนสำหรับรถยนต์รุ่นแรกนี้ โดยไม่ได้ระบุจำนวนเงินว่าขาดทุนต่อคันเท่าไหร่ แต่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Xiaomi จะสูญเสียเงินจำนวนมหาศาล
เพราะประเมินจากกำลังการผลิต 60,000 คัน ในปีนี้ Xiaomi SU7 อาจทำให้ Xiaomi ขาดทุนมากถึง 4.1 พันล้านหยวน (ประมาณ 2 แสนล้านบาท) หรือโดยเฉลี่ย 68,000 หยวน (ประมาณ 3.5 แสนบาท) ต่อ Xiaomi SU7 1 คันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม Xiaomi ถือว่าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เงินทุนหนา ต่างจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นสตาร์ตอัปรายอื่น ๆ จึงอาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ซึ่งช่วงแรก Tesla ก็ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องเช่นกัน เพราะถึง Tesla จะเป็นที่ยอมรับจากการเปิดตัว Tesla Roadster รวมถึง Tesla Model S แต่เป็นสินค้าเฉพาะกลุ่ม ราคาสูง และขาดสินค้าราคาต่ำระดับอุตสาหกรรมที่สามารถขายได้จำนวนมาก ๆ ซึ่งจำเป็นต้องมี Tesla Model 3 และ Model Y รวมถึงรุ่นเล็กกว่าในอนาคต