ไขปัญหาคาใจ เคลือบแก้ว กับ เคลือบเซรามิก ต่างกันอย่างไร ? รถของเราแท้จริงแล้วจำเป็นต้องเคลือบไหม หรือแค่กระแสนิยม
รถยนต์ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักในการดำเนินชีวิตของใครหลาย ๆ คน ดังนั้นการดูแลรักษารถยนต์ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งนอกจากเรื่องเครื่องยนต์แล้ว เรื่องของ "การเคลือบสีรถ" ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผู้ขับขี่ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถช่วยปกป้องสีรถ ป้องกันริ้วรอยขีดข่วน และช่วยให้ขจัดคราบสกปรกได้ง่ายขึ้น ซึ่งวันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับการเคลือบแก้ว และเคลือบเซรามิก ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนถึงจะเหมาะกับรถของคุณ
เคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก คืออะไร ต่างกันยังไง
-
เคลือบแก้ว (Glass Coating) คือ การเคลือบชั้นผิวของสีตัวถังรถยนต์บนชั้น Clear Lacquer ให้หนาขึ้น โดยใช้สาร Silicon dioxide (SiO2) หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า ซิลิกา เป็นสารตัวเดียวกับที่ใช้ผลิตแก้วน้ำ เป็นสารตั้งต้นและใช้สารนี้มาเคลือบไว้บนผิวรถ จึงเรียกว่าเป็นการเคลือบแก้ว ซึ่งเมื่อสารตัวนี้ทำปฏิกิริยากับอากาศก็จะแข็งตัว และจะช่วยปกป้องผิวรถ ทำให้มีความคงทนกว่าการเคลือบสีทั่วไป อีกทั้งยังช่วยให้เกิดความเงางาม
- เคลือบเซรามิก (Ceramic Coating) คือ การเคลือบชั้นผิวของสีตัวถังรถยนต์บนชั้น Clear Lacquer ให้หนาขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะเหมือนกับการเคลือบแก้ว แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือส่วนประกอบของน้ำยาที่ใช้เป็นสารตั้งต้น โดยสารดังกล่าวจะมีอยู่หลายชนิด ทั้ง Silicon Carbide (SiC) และ Silicon dioxide (SiO2) ซึ่งเมื่อเคลือบไปกับตัวรถแล้วจะเกิดความเงา และมีความหนา แข็งแกร่งเพิ่มขึ้น
วิธีการเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก มีกี่ประเภท ?
เมื่อได้รู้จักความต่างของการเคลือบทั้ง 2 แบบไปแล้ว ทีนี้เรามาดูกันว่า “การเคลือบ” แบ่งออกเป็นกี่ประเภท และมีวิธีการอย่างไรบ้าง
1. การเคลือบแบบทา เป็นวิธีการแบบดั้งเดิม โดยการเคลือบลักษณะนี้จะต้องใช้ทักษะฝีมือของช่างเคลือบที่ต้องมีความชำนาญสูง โดยจะต้องทาสารเคลือบให้กระจายทุกส่วนของพื้นผิวรถยนต์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่บางและไม่หนามากเกินไป
2. การเคลือบแบบพ่น เป็นการเคลือบแบบใช้เครื่องพ่นสีรถยนต์ในปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้สารพ่นกระจายตัวได้ดี ทำงานได้รวดเร็ว และเข้าถึงทุกซอกทุกมุม วิธีการเคลือบแบบนี้ให้ความคงทน เงางาม เสริมสีรถให้ดูฉ่ำแวววาว สดใหม่เสมอ มีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น
เคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก ดีอย่างไร
เคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก เป็นหนึ่งวิธีในการดูแลสีรถยนต์ ที่จะช่วยให้การดูแลสีรถง่ายขึ้น ซึ่งจะแตกต่างจากการเคลือบสีรถแบบธรรมดาซึ่งจะอยู่ได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ส่วนเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก ทำครั้งเดียวอยู่ได้ถึง 2-3 ปี อีกทั้งยังให้คุณสมบัติที่ช่วยให้รถเงาใสตลอดเวลา และยังทำให้สิ่งสกปรกเกาะบนรถได้ยากขึ้น ล้างทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย
ส่วนระหว่างเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก อย่างไหนดีกว่ากัน ต้องบอกว่าทั้ง 2 ชนิดนี้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน แต่การเคลือบเซรามิก จะมีความแตกต่างกันที่ส่วนประกอบของน้ำยาที่ใช้เป็นสารตั้งต้น ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดการสร้างชั้นเคลือบที่หนาและแกร่งขึ้น กว่าการเคลือบแก้ว ทำให้กันรอยขีดข่วนได้ดี รวมถึงทนต่อการกัดกร่อนจากคราบต่าง ๆ เช่น ขี้นก และยางไม้ รวมถึงลดการเกาะติดของคราบน้ำ
ข้อควรรู้สำหรับการเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก
-
จะต้องเตรียมพื้นผิวให้ดีก่อนทำการเคลือบ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่นิยมสำหรับรถใหม่ ส่วนรถเก่าต้องผ่านการขัดสีให้สะอาดก่อน จึงจะสามารถทำการเคลือบได้
-
การเคลือบแก้ว-เคลือบเซรามิก ไม่สามารถทนต่อการชนกระแทกจนเป็นรอยบุบ รวมถึงการขูดลึกที่มีความรุนแรง
-
การเคลือบแก้ว-เคลือบเซรามิก จะมีราคาที่สูง สามารถอยู่ได้เพียง 2-3 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นต้องเคลือบใหม่
-
เวลารถเกิดอุบัติเหตุ ต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนตัวถัง การเคลือบเซรามิกเฉพาะจุดจะมีราคาแพงพอสมควร บางร้านอาจไม่ยอมทำให้เนื่องจากไม่คุ้มค่าน้ำยา
สรุปคือ การเคลือบแก้ว และเซรามิก เป็นหนึ่งวิธีในการดูแลสีรถยนต์ ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้จะมีความแตกต่างกันเพียงตัวสารตั้งต้นเท่านั้น โดยหัวใจสำคัญคือการรักษาปกป้องสีตัวรถ โดยเฉพาะลดเวลาการเข้าศูนย์เพื่อล้างและเคลือบสีบ่อย ๆ แต่อย่างไรก็ดีหากใครที่มีงบประมาณจำกัด การล้างรถแบบสม่ำเสมอ และการเคลือบสีตามคาร์แคร์ที่ได้มาตรฐานเดือนละครั้ง ก็สามารถช่วยให้รถมีความแวววาวและสวยงามอยู่เสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก : washmenow.ca, exclusivedetail.com, thedrive.com