ผ้าเบรกรถยนต์ อีกหนึ่งชิ้นส่วนสำคัญของรถที่อยู่ในระบบเบรก แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าควรเปลี่ยนเมื่อใด หรือจริง ๆ แล้วมีวิธีที่สามารถสังเกตเองได้ว่าผ้าเบรกใกล้จะหมด ? วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกัน พร้อมแนะนำผ้าเบรกยอดนิยมในเมืองไทย ว่าใช้ยี่ห้อไหนดี
สำหรับรถยนต์ทุกคัน ระบบเบรกถือเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นที่จะต้องได้รับการบำรุงรักษาอย่างถูกต้องไม่ต่างกับส่วนอื่น ๆ เพราะมีหน้าที่ทำให้รถชะลอความเร็วหรือหยุดได้อย่างปลอดภัย และชิ้นส่วนที่เจ้าของรถสามารถตรวจเช็กด้วยตัวเองได้ก็คือ ผ้าเบรก ซึ่งเสื่อมสภาพได้ตามระยะเวลาและลักษณะการใช้งาน
แต่คำถามแรกสำหรับผู้ขับขี่ทั่วไปก็คือจะรู้ได้อย่างไรว่าผ้าเบรกต้องเปลี่ยนเมื่อไหร่ ถ้าดูกันที่เรื่องของความหนา แบบไหนจะถือว่ายังใช้งานได้ และจะใช้ได้อีกนานแค่ไหน วันนี้กระปุกดอทคอมได้รวบรวมวิธีการสังเกตผ้าเบรกในเบื้องต้น รวมถึงวิธีการเลือกใช้ผ้าเบรกมาแนะนำกันด้วย
ขั้นแรกมาทำความรู้จักกับระบบเบรกของรถยนต์กันก่อน ซึ่งปัจจุบันที่ใช้งานกันมากที่สุดมีอยู่ 2 ประเภท คือ ดิสก์เบรกและดรัมเบรก
ดิสก์เบรก คือ ระบบเบรกที่อยู่ในรถยนต์เกือบทุกยี่ห้ออยู่ที่ว่าจะใช้ดิสก์เบรกแค่ 2 ล้อหน้า หรือทั้ง 4 ล้อ ก็ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตแบรนด์นั้น ๆ ดิสก์เบรกจะประกอบด้วย จานเบรก, คาลิปเปอร์เบรก และผ้าเบรก ในส่วนของการทำงานทุกครั้งที่เรากดแป้นเบรกน้ำมันไฮดรอลิกในคาลิปเปอร์จะดันผ้าเบรกแต่ละแผ่นเข้าไปที่จานเบรก ทำให้เกิดแรงเสียดทานขึ้น ช่วยให้รถชะลอความเร็วลงและหยุดรถได้อย่างปลอดภัย
ดรัมเบรก คือ ระบบเบรกแบบปิดที่ใช้ในรถยนต์หรือรถอื่น ๆ ช่วงแรกเริ่ม ซึ่งปัจจุบันยังพบเห็นได้ในรถยนต์ และรถบรรทุก ดรัมเบรกประกอบด้วย ผ้าเบรกทรงโค้ง, ก้ามปูเบรก หรือ ฝักเบรก, สปริง และลูกสูบที่ต่อเข้ากับสายเบรก ส่วนการทำงานของดรัมเบรกนั้น ในทุกครั้งที่เราแตะเบรก ผ้าเบรกด้านในจะถูกแม่ปั๊มดันให้ไปติดกับด้านในของฝาครอบเบรก ซึ่งฝาครอบเบรกนี้จะยืดติดอยู่กับล้อรถ ทำให้เกิดแรงเฉื่อยช่วยชะลอความเร็ว และหยุดรถได้ในที่สุด
ตามที่กล่าวไปแล้วว่าผ้าเบรกคืออะไหล่ที่มีการเสื่อมสภาพ ซึ่งผู้ขับขี่รถยนต์สามารถสังเกตได้ด้วยตัวเอง เมื่อพบกับอาการดังนี้
-
มีอาการเบรกต่ำ หรือต้องกดแป้นเบรกลึกมากขึ้น และรถชะลอความเร็ว หรือหยุดช้ากว่าเดิม
-
ทุกครั้งที่จอดรถจะต้องดึงเบรกมือสูงกว่าปกติ (กรณีผ้าเบรกล้อหลัง)
-
มีไฟเบรกมือขึ้นโชว์ที่หน้าปัดทั้งที่ไม่ได้ยกเบรกมือ เนื่องจากน้ำมันเบรกในกระปุกอยู่ต่ำกว่าขีด MIN เพราะผ้าเบรกที่บางลง
-
มีเสียงเหมือนเหล็กเสียดสีกันทุกครั้งที่เหยียบเบรก ซึ่งในผ้าเบรกแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อนั้นจะมีเหล็กเตือนที่จะเสียดสีกับจานเบรกเพื่อแสดงว่าผ้าเบรกเหลือน้อยแล้ว
แม้ผู้ผลิตผ้าเบรกระบุไว้ว่าผ้าเบรกจะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 40,000-100,000 กิโลเมตร ซึ่งก็อาจเป็นจริงตามนั้น แต่ก็มีอีกหลาย ๆ ปัจจัยที่ทำให้ผ้าเบรกอาจไม่ได้ใช้งานได้ยาวนานขนาดนั้น เช่น ใช้รถยนต์บ่อยแค่ไหน ลักษณะการขับขี่ของแต่ละบุคคลเป็นอย่างไร ขับเร็วหรือขับช้า รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ใช้ในการเดินทางต้องขึ้นเขาหรือพื้นที่สูงชันหรือไม่ นั่นทำให้อายุของผ้าเบรกในรถแต่ละคันอาจไม่เท่ากัน ซึ่งเราควรหมั่นสังเกตและตรวจสอบเป็นประจำ โดยเฉพาะผ้าเบรกแบบดิสก์เบรกนั้นจะค่อนข้างหมดเร็ว กว่าผ้าเบรกแบบดรัมเบรกที่ใช้งานได้ยาวนานกว่า
ผ้าเบรกรถยนต์ในปัจจุบันที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดนั้นมีอยู่หลายประเภทด้วยกัน แต่จะแตกต่างกันตรงที่วัสดุที่นำมาผลิต ซึ่งก็จะส่งผลถึงอายุการใช้งานของผ้าเบรกด้วยเช่นกัน เราจึงควรเลือกชนิดของผ้าเบรกให้เหมาะสมกับรถและสไตล์การขับขี่ เพื่อการใช้งานผ้าเบรกได้เต็มประสิทธิภาพ โดยผ้าเบรกแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1. ผ้าเบรกออร์แกนิก คือผ้าเบรกที่ผลิตด้วยเส้นใยที่ไม่ได้ทำจากโลหะ แต่จะทำจากใยแก้ว, ยาง และไฟเบอร์ เป็นส่วนประกอบหลัก นั่นจึงทำให้ผ้าเบรกชนิดนี้จะมีความนุ่ม เงียบ และไม่มีเสียงดังเวลาเหยียบเบรก แต่ผ้าเบรกชนิดนี้ จะเหมาะกับการขับขี่รถยนต์แบบใช้ความเร็วไม่มากนัก ขับขี่ทั่วไปในเมือง อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ใช้ความเร็วเท่าไร และที่สำคัญแม้จะมีราคาที่ถูกแต่ผ้าเบรกออร์แกนิกนี้ก็จะหมดเร็วกว่าผ้าเบรกชนิดอื่นเช่นกัน
2. ผ้าเบรกเมทัลลิก คือผ้าเบรกที่ทนทานมากที่สุด เพราะผลิตจากโลหะที่ทนต่ออุณหภูมิที่สูงหรือแตกต่างกันได้เป็นอย่างดี และมีอายุการใช้งานได้เป็นเวลานาน นั่นจึงทำให้ผ้าเบรกชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก แต่ผ้าเบรกเมทัลลิกนี้เมื่อใช้ไปสักระยะนึงก็จะมีเสียงดังรบกวนเช่นกัน และอาจทำให้จานเบรกสึกหรอก่อนเวลาอันควรได้
3. ผ้าเบรกเซมิเมทัลลิก คือผ้าเบรกที่มีส่วนผสมของโลหะที่มากถึง 65% ถือเป็นผ้าเบรกที่ได้รับความนิยมและพบเห็นได้มากที่สุดในยุคปัจจุบัน ผ้าเบรกเซมิเมทัลลิกมีความทนทานที่สูงและมีระยะเวลาใช้งานที่ยาวนาน ผ้าเบรกชนิดนี้เหมาะกับผู้ที่ชอบการขับขี่รถด้วยความเร็วสูง และต้องการที่จะหยุดรถด้วยความรวดเร็วเช่นเดียวกัน
4. ผ้าเบรกเซรามิก คือผ้าเบรกที่ได้ชื่อว่าทนทานมากที่สุดจากชนิดของผ้าเบรกที่กล่าวมาทั้งหมด ตัวผ้าเบรกทำจากวัสดุเซรามิกผสมเส้นใยทองแดง ข้อดีของผ้าเบรกชนิดนี้นอกจากความทนทานที่สูงกว่าผ้าเบรกชนิดอื่นแล้ว ยังให้ความเงียบ และไม่มีฝุ่นดำ แต่ก็มีข้อเสียอยู่ที่ราคาค่อนข้างสูง และตัวเนื้อผ้าเบรกนั้นไม่ดูดซับความร้อนอาจทำให้จานเบรกเกิดความร้อนสูงได้
ผ้าเบรกยี่ห้อไหนดี
สำหรับผ้าเบรกที่มีจำหน่ายในบ้านเรานั้นเรียกได้ว่ามีให้เลือกมากมาย โดยแต่ละแบรนด์ก็มีคุณสมบัติและประสิทธิภาพ รวมถึงราคาที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นเราจึงควรเลือกให้เหมาะสมกับประเภทของรถ หรือตามนิสัยการขับขี่ของแต่ละบุคคล ว่าแต่จะมีรุ่นไหนน่าสนใจบ้าง ไปดูกันเลย
1. Bendix
แบรนด์ผู้ผลิตเกี่ยวกับระบบเบรกที่ทำตลาดในบ้านเรามาอย่างยาวนาน Bendix มีผ้าเบรกให้เลือกมากมายหลายรุ่น โดยทุกรุ่นผ่านการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐาน ให้ประสิทธิภาพสูงพร้อมตอบสนองทุกการขับขี่ มีทั้งหมด 5 รุ่น ดังนี้
- General CT เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป และใช้ความเร็วสูงเป็นบางครั้ง
- Heavy Duty เหมาะสำหรับรถกระบะ รถตู้ หรือรถที่ต้องบรรทุกของหนัก
- Metal King titanium เหมาะสำหรับผู้ที่ขับขี่รถด้วยความเร็วสูง และเบรกรถอย่างรวดเร็ว หรือผู้ที่ต้องการความทนทานในการใช้งาน
- 4WD เหมาะสำหรับรถออฟโรดที่ขับในเมืองก็ได้ หรือเส้นทางที่ยากลำบาก
- Premium เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้งานในเมือง หรือออกต่างจังหวัด ทนความร้อนสูง สะอาด และนุ่มนวล
2. NEXZTER
ผ้าเบรกจากประเทศญี่ปุ่นที่ผลิตจากวัตุถุดิบและเทคโนโลยีคุณภาพ มีความทนทานเหมาะกับทุกสภาพการใช้งาน มีให้เลือกใช้ทั้งหมด 4 รุ่น ดังนี้
- NEXT SPEC เหมาะสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลที่ใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป
- MU SPEC เหมาะสำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก-ใหญ่ ที่ใช้ความเร็วสูงบ้างในบางเวลา
- PRO SPEC เหมาะสำหรับรถยนต์นั่งขนาดกลาง - ใหญ่, รถกระบะ, รถแวน, รถขับเคลื่อน 4 ล้อ และรถแต่งที่ใช้ความเร็วสูง
- RACE SPEC เหมาะสำหรับรถ super car หรือรถที่ใช้ในสนามแข่ง
3. TRW
ผ้าเบรกจากประเทศเยอรมนีที่ได้รับความนิยมไม่แพ้แบรนด์อื่น ๆ มีทั้งหมด 4 รุ่น ดังนี้
- COTEC เหมาะสำหรับรถยุโรปทุกชนิดที่ใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป
- DETEC ผ้าเบรกเนื้อเซรามิกที่เพิ่มเทคโนโลยีแผ่นกันดัง เหมาะสำหรับรถญี่ปุ่นทุกชนิด
- UTEC เหมาะสำหรับรถกระบะทุกชนิด โดยเฉพาะรถกระบะที่ใช้งานหนัก
- ATEC เหมาะสำหรับรถเก๋งและรถกระบะญี่ปุ่น ให้แรงเสียดทานคงที่ทุกช่วงอุณหภูมิ ไม่มีเสียงรบกวน
4. Akebono
อีกหนึ่งแบรนด์ผ้าเบรกจากประเทศญี่ปุ่น ที่ผลิตให้กับค่ายรถยนต์ชื่อดังทั่วโลก เหมาะกับรถญี่ปุ่นและรถยุโรปทุกชนิด มีประสิทธิภาพการใช้งานได้อย่างยาวนาน และไร้เสียงรบกวน มีทั้งหมด 3 รุ่น ดังนี้
- Akebono Proact ผ้าเบรกที่ได้รับการออกแบบให้ลดเสียงดังรบกวนและการสั่นสะเทือน เพื่อให้คุณภาพการเบรกที่นุ่ม เงียบ มีประสิทธิภาพการใช้งานที่ยาว เหมาะกับการใช้งานทั่วไป
- Akebono Euro ผ้าเบรกเซรามิกที่ผลิตจากเทคโนโลยีขั้นสูง ให้ประสิทธิภาพการเบรกและหยุดรถอย่างมั่นใจ เหมาะสำหรับรถยุโรปทุกชนิด
- Akebono Performance ผ้าเบรกเซรามิกชนิดพรีเมียม ที่ตอบสนองต่อการเบรกได้เป็นอย่างดี ลดการเกิดเสียง, การสั่นสะเทือน และฝุ่นคราบเขม่าต่าง ๆ เหมาะสำหรับรถสปอร์ตและรถที่มีสมรรถนะสูงทุกรุ่น
5. Brembo
ผ้าเบรกจากผู้ผลิตเกี่ยวกับอุปกรณ์ระบบเบรกที่ถูกเลือกให้ติดตั้งในรถซูเปอร์คาร์หลายรุ่น เหมาะกับรถที่ใช้ความเร็วสูงทุกชนิด รถสปอร์ต รถซูเปอร์คาร์ คือ
- Brembo Xtra ผ้าเบรกที่ผลิตจากส่วนประกอบกว่า 30 ชนิด ช่วยการหยุดรถได้อย่างมั่นใจ กระจายแรงเบรกสม่ำเสมอในทุกช่วงอุณหภูมิ เหมาะกับทุกสภาพพื้นผิวและทุกการใช้งาน โดยเฉพาะในรถสปอร์ตหรือรถที่ใช้ความเร็วสูง
สำหรับผ้าเบรกแต่ละแบรนด์และแต่ละรุ่นต่างก็มีคุณสมบัติและลักษณะของการใช้งานที่แตกต่างกันตามวัสดุหรือเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต ผู้ขับขี่ที่จะเปลี่ยนผ้าเบรกควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดและเลือกใช้บริการจากอู่หรือร้านที่ได้มาตรฐาน
อย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมว่าแม้เราจะใช้ผ้าเบรกที่มีคุณภาพดี หรือราคาสูงแค่ไหน แต่หากขับขี่ด้วยความเร็วเกินไปและขาดความระมัดระวังก็ย่อมมีโอกาสที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุและความเสียหายได้ ดังนั้นควรใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนดเพื่อความปลอดภัย
akebonobrakes.com, brembo.com