x close

12 เรื่องเกี่ยวกับ New MINI Cooper SE รถไฟฟ้าคันแรกของค่าย MINI

New MINI Cooper SE รถไฟฟ้าคันแรกจากค่าย MINI ที่เปิดตัวไปแล้วเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา และกำลังจะเปิดจองเร็ว ๆ นี้ นับเป็นก้าวสำคัญแห่งการปฏิวัติการขับขี่ด้วยพลังงานสะอาด แต่ยังคงความสนุกเร้าใจสไตล์โกคาร์ทที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถยนต์ค่ายนี้

เมื่อ 60 ปีก่อน MINI ได้นำเสนอนิยามใหม่ของการใช้พื้นทีในตัวรถอย่างสร้างสรร เพื่อมอบความสนุกในการขับขี่ที่มีเอกลักษณ์ให้โลกได้รู้จัก วันนี้กระแสของการประหยัดพลังงาน รักษาสิ่งแวดล้อมตื่นตัวมากขึ้น New MINI Cooper SE จึงปรากฏตัวขึ้นเพื่อนำเสนอประสพการณ์การขับขี่ที่จะก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนจะเป็นอย่างไร เราไปทำความรู้จักรถไฟฟ้าคันนี้กัน

12 เรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับ New MINI Cooper SE รถไฟฟ้าคันแรกของค่ายมินิ

1. New MINI Cooper SE คือรถไฟฟ้าคันแรกที่เป็น EV 100% ของค่าย MINI 

โปรเจครถไฟฟ้าของ MINI ได้เริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี 2008 ในชื่อโปรเจค MINI E ต่อมาในปี 2017 ได้ออกมินิเครื่องยนต์ไฮบริดในรุ่น MINI Cooper SE Countryman ALL4 จนกลายมาเป็น MINI Cooper SE ในปี 2019

2. ราคาจำหน่าย 2,290,000 ล้านบาท เปิดจองผ่านทางออนไลน์เท่านั้น

เป็นเรื่องปกติของค่ายมินิที่รถรุ่น exclusive จะเปิดให้จองทางออนไลน์อย่างเดียว และสำหรับผู้ที่สนใจ New MINI Cooper SE สามารถพรีออร์เดอร์ได้ในวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ เวลา 14.14 น. เป็นต้นไปที่ mini.co.th สนนราคาอยู่ที่ 2.29 ล้านบาท และมีจำนวนจำกัดเพียง 25 คันเท่านั้น

3. เปิดตัวที่ไทยเป็นประเทศแรกใน Asia Pacific

New MINI Cooper SE จะเปิดตัวในไทยเป็นอันดับแรก ๆ ของโลก และเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก เรียกได้ว่าขายก่อนที่ญี่ปุ่นและจีนด้วย

4. เครื่องยนต์ของ New MINI Cooper SE ถูกพัฒนามาจาก BMW i3

BMW i3 คือรถไฟฟ้า 100% รุ่นแรกจากค่าย BMW วางจำหน่ายปี 2013 โดยเทคโนโลยีทั้งหมดถูกยัดลงมาใน MINI Cooper S รหัสตัวถัง F56 ที่ดูภายนอกแทบไม่รู้เลยว่าเป็นรถไฟฟ้า 100%

5. แบตเตอรี่ชาร์จไฟ 1 ครั้ง วิ่งได้ 217  กม.

แบตเตอรี่แรงดันสูงที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาสำหรับมินิ คูเปอร์ เอสอีโดยเฉพาะ ประกอบไปด้วยเซลล์แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจำนวน 12 โมดูล ติดตั้งในรูปทรงตัว T บริเวณใต้รถ จุพลังงานไฟฟ้ารวม 32.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง ถ้าชาร์จจาก MINI ELECTRIC Wallbox ที่รองรับกำลังไฟได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ ชาร์จถึง 80% ภายใน 2.5 ชม. และชาร์จเต็ม 100 ภายใน 3.5 ชม. และถ้าชาร์จแบบ DC fast-charging 50 กิโลวัตต์ ชาร์จได้ถึง 80% ภายใน 36 นาที วิ่งได้ระยะทางสูงสุดราว 217 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) หรือ 235-270 กม. ตามรูปแบบการขับ

6. อัตราเร่ง 0-100 กม. ใน 7.3 วินาที

เครื่องยนต์เป็นชุดมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 135 กิโลวัตต์ หรือเท่ากับ 184 แรงม้า ส่งแรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตรได้ทันทีที่เท้าแตะคันเร่งแม้จากรถหยุดนิ่ง ความเร็วจาก 0-60 กม./ชม. ได้ภายใน 3.9 วินาที เร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กม./ชม. ได้ภายใน 7.3 วินาที ความเร็วสูงสุดได้ 150 กม./ชม. 

7. โหมดการขับ 4 รูปแบบ

รองรับการตั้งค่าต่าง ๆ ตามสภาวะและรูปแบบการขับขี่ที่เฉพาะตัวของแต่ละบุคคลทั้ง 4 รูปแบบ ได้แก่ Sport, MID, GREEN, และ GREEN+ โดยในโหมด GREEN+ นี้ถือเป็นโหมดฉุกเฉินในกรณีที่แบตเตอรี่ใกล้หมด ช่วยเพิ่มระยะทางในการขับขี่โดยการจำกัดหรือหยุดการทำงานของระบบอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่นระบบปรับอากาศหรือระบบอุ่นเบาะที่นั่ง เป็นต้น

8. เกาะถนนมากกว่าเดิม ขับสนุกมากขึ้น Go-Kart Feeling มากกว่าเดิม

มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีขนาดเล็กกว่าเครื่องยนต์สันดาปทั่วไปและมีน้ำหนักเบากว่ามาก จึงทำให้กระจายน้ำหนักสู่เพลาได้อย่างสมมาตรยิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อผสานกับจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำจึงทำให้มีความคล่องตัว ควบคุมได้อย่างแม่นยำและง่ายดายยิ่งขึ้นแม้ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง และยังมีประสิทธิภาพในการเกาะถนนมากขึ้นจากตำแหน่งที่ตั้งของแบตเตอรี่แรงดันสูงบริเวณใต้ท้องรถ ระหว่างเบาะนั่งด้านหน้าไปจนถึงบริเวณใต้เบาะหลัง

9. ล้ออัลลอยใหม่ขนาด 17 นิ้ว มีชื่อว่า Corona Spoke 2-Tone

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งของ New MINI Cooper SE และเห็นได้จากภายนอกเลยก็คือ ล้อที่ถูกออกแบบในลักษณะไม่สมมาตรแต่กระจายน้ำหนักเท่ากันทั้งวง ตัดขอบสีเหลืองล้อมรอบดูโดดเด่น เจาะช่อง 3 รู คล้ายช่องเสียบปลั๊ก 3 ขา สื่อถึงความเป็นรถไฟฟ้า

10. ถ่ายทอด MINI DNA ไว้ครบทุกประการ

สัดส่วนต่าง ๆ ของรถยังคงความเป็น MINI ไว้ทุกประการ ตั้งแต่โครงสร้างตัวถัง หน้าต่างรอบคันและหลังคารถ ล้ออยู่ใกล้กันชน ความกว้างฐานล้อ สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือกระจังหน้าและสกู๊ปดักลมบนฝากระโปรงที่เดิมเป็นช่องระบายอากาศก็ปิดทึบไว้ ใต้ท้องรถที่มีแผ่นปิดเกือบรอบคัน แล้วคาดเส้นสีเหลืองพร้อมโลโก้ตัว E ที่หมายถึง Electric แต่ถ้ามองเฉพาะส่วนสีเหลือง จะดูเหมือนปลั๊กไฟอีกด้วย

11. หน้าปัดใหม่ ดิจิทัล 100%

New MINI Cooper SE เป็น MINI รุ่นแรกที่ใช้หน้าปัดหลังพวงมาลัยเป็นดิจิทัลขนาด 5.5 นิ้ว ดีไซน์ Black Panel บอกสถานะทั้งหมดของรถ ตั้งแต่อัตราความเร็ว ระดับพลังงานแบตเตอรี่ โหมดการขับขี่ สถานะของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ และสัญญาณแสดงสถานะการทำงานของระบบต่าง ๆ รวมทั้งเวลาที่ใช้ในการชาร์จแบตเตอรี่ และจอระบบสัมผัสขนาด 6.5 นิ้วบริเวณแผงคอนโซล รองรับการสั่งงานระยะไกลจากแอปพลิเคชั่น MINI Connected ได้อีกด้วย

12. ไม่ใช่รถสำหรับทุกคน

เอกลักษณ์ของ MINI คือเป็นรถขนาดเล็กซึ่งจะเหมาะกับวัยหนุ่มสาวมากกว่าครอบครัว ทำงานในเมือง ต้องการความคล่องแคล่ว แต่ในขณะเดียวกันสำหรับผู้ที่พักอาศัยอยู่ในคอนโด ก็จะมีปัญหาเรื่องความสะดวกในการชาร์จไฟแน่นอน และทางออกก็คงต้องไปชาร์จไฟที่ สถานีชาร์จรถไฟฟ้า ChargeNow ของ BMW Thailand ซึ่งปัจจุบันนี้มีอยู่ 32 แห่งในประเทศไทย 

การมาของรถไฟฟ้า 100% อย่าง New MINI Cooper SE ถือว่าค่อนข้างถูกจังหวะและเวลาเมื่อดูจากสถานการณ์ในบ้านเราที่กำลังต้องกังวลกับปัญหามลภาวะและสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้ทิศทางและกระแสเรื่องรถไฟฟ้าจะยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้นแน่ อย่างที่ก่อนหน้านี้ค่ายอื่น ๆ ก็ได้นำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายนำทางไปก่อนแล้วเช่น Nissan Leaf หรือ Hyundai Kona 

ข้อมูลจาก mini.com

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
12 เรื่องเกี่ยวกับ New MINI Cooper SE รถไฟฟ้าคันแรกของค่าย MINI อัปเดตล่าสุด 12 กรกฎาคม 2564 เวลา 15:29:24 20,052 อ่าน
TOP