แนะนำเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ที่น่าสนใจ เครื่องฟอกอากาศ สำหรับติดตั้งในรถ สามารถป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้ ช่วยลดความเสี่ยงต่อเชื้อโรค ในทุกวันนี้ที่ฝุ่นควันกลายเป็นปัญหาที่ไม่อาจจะละเลยได้
เรื่องฝุ่นควัน PM2.5 ในบ้านเรากลายเป็นปัญหาที่รุนแรงมากขึ้นทุกปี ในพื้นที่หลาย ๆ จังหวัดที่ประสบปัญหารวมถึงกรุงเทพมหานคร การออกไปอยู่กลางแจ้งโดยเฉพาะตามท้องถนนกลายเป็นว่ามีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ
นั่นคงไม่เว้นแม้แต่ผู้ขับขี่หรือใช้รถยนต์ส่วนตัว ที่จะต้องเผชิญกับฝุ่นควันหรือละอองสิ่งสกปรกภายในรถของตัวเองด้วย ดังนั้นการหาเครื่องกรองอากาศที่สามารถติดตั้งในรถยนต์มาใช้งาน น่าจะช่วยลดความเสี่ยงจากฝุ่น PM2.5 และเชื้อโรคในอากาศได้ ซึ่งในบ้านเราก็มีเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ให้เลือกซื้อหากันหลายแบบหลายยี่ห้อเลยทีเดียว
เครื่องฟอกอากาศ กับ เครื่องกรองอากาศ
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า เครื่องกรองอากาศ กับ เครื่องฟอกอากาศ นั้นไม่เหมือนกัน เครื่องฟอกอากาศคือเครื่องที่ทำงานโดยดูดเอาอากาศมาทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคในระหว่างที่อากาศไหลผ่านเครื่อง แต่ไม่ได้ทำการกรองละอองฝุ่น
ในขณะที่เครื่องกรองอากาศทำหน้าที่ดักจับ และกรองฝุ่นที่อยู่ในอากาศด้วยแผ่นฟิลเตอร์หรือแผ่นเจล ตามแต่เทคโนโลยีของผู้ผลิตแต่ละแบรนด์
ดังนั้นแม้ว่าเราจะเรียกกันติดปากว่าเครื่องฟอกอากาศ แต่ก่อนจะซื้อก็จำเป็นต้องดูคุณสมบัติของเครื่องด้วยว่ามีความสามารถในการ กรองอากาศ หรือ ฟอกอากาศ
กลับมาในเรื่องของรถยนต์ โดยปกติแล้วในรถจะมีไส้กรองอากาศดักอยู่ที่ช่องทางเดินลมของเครื่องปรับอากาศหรือแอร์อยู่แล้ว ซึ่งสามารถดักจับฝุ่นละอองได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศเพิ่มเติม ก็จะยิ่งทำให้อากาศภายในห้องโดยสารสะอาดขึ้นได้ และนี่คือ 5 เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ที่น่าสนใจสำหรับเลือกหามาใช้งาน
1. Atmosphere Drive (AMWAY)
จุดเด่น - ใช้ไส้กรองที่สามารถกรองได้ทั้งฝุ่นหยาบและฝุ่นละเอียดสูงสุด 90% ภายใน 15 นาที และ 99% ใน 30 นาที อนุภาคเล็กสุดที่กรองได้คือ 0.015 ไมครอน มั่นใจได้เลยว่าปลอดภัยจาก PM2.5 แน่นอน นอกจากนี้ยังสามารถกรองสิ่งปนเปื้อนในอากาศที่ทำให้เกิดภูมิแพ้อย่างเช่น ละอองเกสรดอกไม้ รังแคจากสัตว์เลี้ยง ยีสต์ กลิ่นอาหาร กลิ่นสัตว์เลี้ยง กลิ่นไม่พึงประสงค์ กรองได้หมด แถมยังดักจับเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้อีกด้วย
การติดตั้ง - สามารถติดตั้งได้ 2 ตำแหน่ง คือ ด้านหลังพนักพิงศีรษะของคนขับ หรือคอนโซลกลางระหว่างคนขับและผู้โดยสาร
ราคาโดยประมาณ 14,000-16,000 บาท
2. GoPure 7101 (PHILIPS)
จุดเด่น - กรองฝุ่น PM2.5 ในห้องโดยสารรถ SUV ได้ 50% ใน 6 นาที นอกจากนี้ยังชูจุดเด่นด้วยความสามารถในการกรองก๊าซพิษจากการจราจรที่เข้ามาในรถได้ด้วย และอีกหนึ่งจุดเด่นที่น่าสนใจคือ รายงานสภาพอากาศแบบเรียลไทม์ผ่านแอปฯ Air Matters บนมือถือได้ด้วย
การติดตั้ง - วางได้ทุกตำแหน่งในห้องโดยสาร ทั้งข้างคนขับ พนักพิงศีรษะ ใต้เบาะที่นั่ง
ราคาโดยประมาณ - 6,000-6,500 บาท
3. CONOCO S1
จุดเด่น - มีดีไซน์เครื่องที่ดูล้ำสมัย ใช้ไฟ LED บอกสถานะอากาศภายในรถ ใช้ไส้กรอง 3M ความสามารถในการกรองกลิ่น, ฝุ่น, มลภาวะและสารพิษในอากาศก็อยู่ในระดับมาตรฐานดี กรองฝุ่น PM2.5 เอาอยู่แน่นอน แถมยังใช้ในรถหรือในบ้านก็ได้
การติดตั้ง - คอนโซลหน้า, ที่วางแขนข้างคนขับ, พนักพิงศีรษะ เบาะหน้าหรือเบาะหลัง หรือหากเป็นการใช้งานในบ้านก็วางบนโต๊ะหรือติดตั้งกับผนังได้เช่นกัน
ราคา - 4,990 บาท และอาจมีโปรโมชั่นลดราคาตามช่วงเวลา
4. Xiaomi MiJia Car Air Purifier
จุดเด่น - ไส้กรองคุณภาพสูงทั้งด้านนอกและด้านในทำให้สามารถกรองได้ตั้งแต่เส้นผมไปจนถึงฝุ่น PM2.5, PM0.3-0.5 ไมครอน ได้มากถึง 99.99% นอกจากนี้ยังสามารถกรองอากาศได้เร็วโดยใช้เวลาเพียง 3 นาที ในห้องโดยสารของรถยนต์ซีดาน, 5 นาที ในรถ SUV และ 7 นาที สำหรับรถตู้
การติดตั้ง - แนะนำให้ติดตั้งที่พนักพิงศีรษะ จะเป็นเบาะหลังคนขับ นั่งข้างหรือนั่งหลังก็ได้ มีสายรัดให้เรียบร้อยพร้อมกับสายชาร์จ
ราคาโดยประมาณ - 2,500-2,700 บาท
5. MITSUTA Car Air Purifier MCA150
จุดเด่น - แม้ว่าดีไซน์อาจจะไม่โดดเด่นนัก แต่นี่คือเครื่องกรองอากาศที่มีคุณสมบัติทั้งกรองและฟอกได้พร้อมกัน ชูจุดเด่นเรื่องระบบฟอกอากาศ 5 ขั้นตอน เริ่มตั้งแต่กรองกลิ่น กรองฝุ่น กรองสารเคมี ตามด้วยหลอด UV ฆ่าเชื้อโรค ตบท้ายด้วยปล่อยประจุไฟฟ้าลบ ANION ทำให้มั่นใจว่าฝุ่น PM2.5 ทำอะไรเราไม่ได้แน่นอน และยังเป็นอีกรุ่นที่ใช้ได้ทั้งในรถยนต์และในบ้าน รองรับการใส่น้ำมันหอมระเหยได้ด้วย
การติดตั้ง - ด้วยความที่มีขนาดเล็กทำให้วางตรงส่วนไหนของรถก็ได้
ราคา - 2,490 บาท หรือตามโปรโมชั่น
ทั้งนี้ ก่อนจะเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศสำหรับติดตั้งในรถยนต์ เราควรจะคำนึงถึงขนาดรถของเราเองก่อนว่าเป็นซีดานหรือเอสยูวี เนื่องจากขนาดของห้องโดยสารนั้นใหญ่ไม่เท่ากัน ความเร็วในการฟอกอากาศนั้นก็จะแตกต่างกันไปด้วย หรืออาจมองถึงไลฟ์สไตล์การใช้รถของเราเองด้วย ถ้าในหนึ่งวันเราอยู่ในรถนาน ขับรถเดินทางบ่อยก็ควรมีติดรถไว้สักเครื่อง เพื่อสุขภาพและอากาศในรถที่สดชื่น