Mercedes-Benz E 350 e 2017 (W213) ขุมพลังปลั๊ก-อิน ไฮบริด พรีเมียมซีดานขนาดกลางชั้นธุรกิจรุ่นใหม่จากค่ายดาวสามแฉกภายใต้ซับแบรนด์ EQ (Electric Intelligence) ที่ลงตัวในทุกด้าน Mercedes-Benz E 350 e 2017 ราคา 3,490,000-4,090,000 บาท แต่น่าสนใจกว่า Mercedes-Benz E 220 d แค่ไหน ?
หากใครเคยได้สัมผัส Mercedes-Benz C 350 e กันมาบ้างแล้วก็คงพอจะเข้าใจว่า ทำไมบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ถึงต้องเปิดตัว Mercedes-Benz E 350 e 2017 เป็นทางเลือกใหม่ภายใต้ซับแบรนด์ EQ (Electric Intelligence ) ที่เตรียมไว้สำหรับกลุ่มรถไฟฟ้าของค่ายดาวสามแฉกในไทย (รวมถึงทั่วโลก) กันอีกหนึ่งรุ่น และคงไม่ใช่แค่เพียงเติมเต็ม Line-up ให้ครบ Segment ซึ่งก่อนหน้านี้มีให้เลือกเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซล (E 220 d) เท่านั้น แต่อาจเป็นเพราะ Mercedes-Benz E 350 e 2017 ใหม่ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Plug-in Hybrid สามารถตอบโจทย์ได้ครบทั้งในเรื่องของความหรูหรา (ที่มากกว่า C-Class) สมรรถนะเร้าใจ (ใกล้เคียง C 350 e) แถมประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งราคายังน่าสนใจมากด้วย โดยเริ่มต้นเพียง 3.49 ล้านบาทเท่านั้น
Mercedes-Benz E 350 e 2017 ใหม่ ยังคงถูกแบ่งระดับการตกแต่งออกเป็น 3 แบบ เช่นเดิมคือ
- พื้นฐาน Avantgarde ราคา 3,490,000 บาท
- หรูหรา Exclusive ราคา 3,790,000 บาท
- สปอร์ต AMG Dynamic ราคา 4,090,000 บาท






ทั้งนี้ในเรื่องของอุปกรณ์มาตรฐานในแต่ละระดับการตกแต่ง ก็ไม่ต่างจากตัวดีเซลก่อนหน้า (E 220 d) มากนัก คือ Mercedes-Benz E 350 e Avantgarde จะได้ไฟหน้าแบบ LED High Performance ที่ไม่ใช่ MULTIBEAM LED พร้อมเทคโนโลยี LED Intelligent Light System (ILS) แบบที่มีในรุ่น Exclusive และ AMG Dynamic รวมถึง ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS - Active Light System, ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (cornering light), ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ(Adaptive Highbeam Assist Plus) ก็จะไม่มีให้ในระดับการตกแต่ง Avantgarde โดย Exclusive และ AMG Dynamic นั้นได้มาครบ



นอกจากนี้ Mercedes-Benz E 350 e AMG Dynamic จะเป็นระดับการตกแต่งเดียวที่ได้หลังคาพาโนรามิคซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า, ดิสก์ เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน, คาลิเปอร์เบรกหน้าประทับโลโก้ Mercedes-Benz และล้ออัลลอยลาย 5 ก้านคู่ ดีไซน์สปอร์ต ขนาด 19 นิ้ว ของ AMG ขณะที่ระดับการตกแต่ง Exclusive ใช้ล้ออัลลอยขนาดเท่ากันแต่เป็นลาย 10 ก้าน ส่วน Avantgarde มาแบบขนาดพอเพียง 18 นิ้ว ลายห้าก้านคู่ ซึ่งก็ไม่ถือว่าเล็กจนน่าเกลียด



เช่นเดียวกับดีไซน์ภายใน ห้องโดยสารของ Mercedes-Benz E 350 e 2017 ที่เป็นเพียงการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ จึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและยังคงเป็น E-Class 2017 ที่พรีเมียม "เหมือนเดิม" โดย ระดับการตกแต่ง Avantgarde และ Exclusive จะเน้นไปที่ความหรูหรา (Avantgarde มาตรวัดอนาล็อก) เบาะหุ้มหนังสังเคราะห์ ARTICO พวงมาลัยหุ้มหนังแท้นาป้า (Nappa) เหมือนกัน แต่ความต่างของสองระดับการตกแต่งนี้จะอยู่ที่แถบประดับของ Exclusive จะเป็นลายไม้แอชสีน้ำตาลโชว์เสี้ยน แต่ใน Avantgarde เป็นลายอะลูมิเนียม รวมถึงสีของหนังที่มีให้เลือกก็แตกต่างกัน (และขึ้นอยู่กับสีตัวถังภายนอกด้วย)



สำหรับ Mercedes-Benz E 350 e AMG Dynamic ซึ่งเป็นระดับการตกแต่งสูงสุดสปอร์ตที่สุด จะได้เบาะนั่งลายสปอร์ตกว่าหุ้มด้วยหนังนาป้า (Nappa) ที่เป็นหนังแกะเนื้อละเอียดนวลเนียน, พวงมาลัยสปอร์ตปาดด้านล่างหุ้มหนังชนิดเดียวกัน แถบประดับอะลูมิเนียมสีดำ พร้อมเครื่องเสียงรอบทิศทาง Burmester®, ระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่ยิงกระจกบังลมหน้า (Head-Up Display) รวมไปถึงระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ (HANDS-FREE ACCESS)



แต่ที่น่าดีใจสำหรับลูกค้าที่เลือก Mercedes-Benz E 350 e 2017 โดยเฉพาะระดับการตกแต่ง Avnatgarde และ Exclusive คือ จะได้อุปกรณ์มาตรฐานจุกจิกภายในที่มากกว่า Mercedes-Benz E 220 d 2017 อยู่พอสมควร จากเดิมที่มีให้เฉพาะ AMG Dynamic เช่น ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือไร้สาย, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto, ระบบสังงานด้วยเสียง (เฉพาะภาษาอังกฤษ), ระบบ COMMAND Online พร้อม Controller, กุญแจ KEYLESS-GO (เพิ่มมาใน Exclusive แต่ Avantgarde ยังไม่มีให้เหมือนเดิม) เป็นต้น



อย่างไรก็ตามระดับการตกแต่ง Avantgarde ก็ยังคงไม่มี ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแบบ 3 โซน, กุญแจ KEYLESS-GO, ระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายด้วยระบบไฟฟ้า, แผงคอนโซลและแผงประตูหุ้มด้วยหนัง, Windscreen Cockpit มาให้อยู่ดี แต่เมื่อคิดว่าสามารถประหยัดเงินไปได้อย่างต่ำ ๆ ถึง 3 แสนบาท (เมื่อเทียบกับตัว Exclusive) ก็เป็นอะไรที่พอรับได้ (แต่ก่อนตัดสินใจควรเปรียบเทียบรายการอุปกรณ์ให้ละเอียดกันอีกทีเพื่อความชัวร์ ไม่เสียดายภายหลังว่ารู้อย่างนี้ยอมจ่ายแพงขยับไปเล่น Exclusive หรือ AMG Dynamic ดีกว่า)



สุดท้ายหัวข้อหลักในการตัดสินใจระหว่าง Mercedes-Benz E 220 d 2017 กับ Mercedes-Benz E 350 e 2017 ใหม่ ควรจะไปทางไหนดี ตัวชี้ขาดคงหนีไม่พ้นในเรื่องของขุมพลังใหม่ Plug-in Hybrid ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ ขนาดความจุ 2.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิด 250 นิวตันเมตร ที่ช่วง 1,200-4,000 รอบ/นาที ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 88 แรงม้า และแรงบิด 440 นิวตันเมตร (ทั้งสองระบบให้พละกำลังสูงสุดที่ 286 แรงม้า และแรงบิด 550 นิวตันเมตร) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC 9 สปีด ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 6.2 วินาที (ช้ากว่า Mercedes-Benz C 350 e เล็กน้อยเท่านั้น โดยทำได้ 5.9 วินาที ซึ่งเมื่อขับจริงก็ให้อัตราเร่งที่ดีต่อใจเหลือเกิน)
Specsheet

และเมื่อเทียบ Mercedes-Benz E 350 e 2017 ใหม่ กับ Mercedes-Benz E 220 d 2017 เครื่องยนต์ดีเซลจะพบว่าช้ากว่าถึง 1.1 วินาที นอกจากนี้ Mercedes-Benz E 350 e 2017 ใหม่ ยังมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ดีกว่าด้วยตัวเลข 40-47.62 กิโลเมตร/ลิตร พร้อมด้วยการปล่อย CO2 เพียง 49-57 กรัม/กิโลเมตร (ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกล 33 กิโลเมตร) ขณะที่ Mercedes-Benz E 220 d 2017 มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบเฉลี่ยอยู่ที่ 25.6 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 102 กรัม/กิโลเมตร (อ้างอิงจากการทดสอบตามมาตรฐานของสหภาพยุโรป) ซึ่งทั้งสองรุ่นเป็นตัวเลขจากโรงงานเองจึงคาดว่าน่าจะใช้มาตรฐานการทดสอบเดียวกัน
สรุปคือ Mercedes-Benz E 350 e 2017 ใหม่ จะแพงกว่า Mercedes-Benz E 220 d 2017 อยู่ 100,000 บาท ในทุกระดับการตกแต่ง ได้อุปกรณ์มาตรฐานมากขึ้น (โดยเฉพาะ Avantgarde และ Exclusive) แรงกว่า ประหยัดกว่า (จากตัวเลข) แต่เรื่องความทนทานและการบำรุงรักษาในระยะยาวนั้นคงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
Mercedes-Benz E 350 e Avantgarde






Mercedes-Benz E 350 e Exclusive













Mercedes-Benz E 350 e AMG Dynamic















