Test Drive หมู่ Jaguar - Land Rover ยานยนต์หรูของอังกฤษ ทีเดียว 5 รุ่น Jaguar XJ L 2016, Jaguar F-Pace 2017, Jaguar XE 2016, Range Rover Sport 2016 และ Range Rover Hybrid 2016 ราคาเกิน 35 ล้านบาท จากกรุงเทพฯ สู่ ภูเก็ต คันไหนถึงที่หมายได้สบายและน่าควักกระเป๋าจ่ายมากสุด บริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการรายใหม่ของ จากัวร์และแลนด์โรเวอร์ ในประเทศไทย จัดให้สื่อมวลชนได้ทดสอบรถยนต์ Jaguar และ Land Rover รวมทั้งหมด 5 รุ่น ซึ่งประกอบด้วย - จากัวร์ เอฟ-เพซ (Jaguar F-PACE 2017) รถ SUV รุ่นใหม่ล่าสุดคันแรกของค่าย Jaguar
- จากัวร์ เอ็กซ์อี (Jaguar XE 2016)
- จากัวร์ เอ็กซ์เจ แอล (Jaguar XJ L 2016)
- เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต (Range Rover Sport 2016)
- เรนจ์ โรเวอร์ (Range Rover 2016)
บนเส้นทางที่ยาวกว่า 800 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ – ภูเก็ต เพื่อให้สื่อมวลชนได้สัมผัสสมรรถนะของเครื่องยนต์ พร้อมเทคโนโลยีที่ครบครันเพื่อความสะดวกสบายสูงสุดในการเดินทาง โดยทีมงานของกระปุกคาร์ได้มีโอกาสขับ 3 รุ่น และนั่งโดยสาร 2 รุ่น ส่วนคันไหนจะประทับใจสะดวกสบายน่าควักกระเป๋าจ่ายไว้สำหรับเดินทางมากที่สุดลองดูกันเลยครับ
อันดับที่ 5 Jaguar XE 2.0 R-Sport ราคา 3,499,000 บาท
รถคอมแพคท์ซีดานระดับพรีเมียมที่มีดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยวเฉพาะตัว ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับ Mercedes-Benz C-Class และ BMW 3 Series แต่ถ้ามองกันแค่เฉพาะในเรื่องของราคา Jaguar XE นั้นคงเสียเปรียบพอสมควรเพราะเป็นแบบนำเข้าทั้งคัน
ดังนั้นคู่แข่งที่เหลืออยู่สำหรับลูกค้าที่ต้องการความแตกต่างโดยไม่เอาราคาเป็นตัวตั้งแล้ว Lexus IS น่าจะเป็นคู่ชกที่สมน้ำสมเนื้อมากที่สุด และสำหรับ Jaguar XE คันที่นำมาทดสอบนั้นเป็นรุ่น 2.0 R-Sport ซึ่งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 200 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 320 นิวตันเมตร ที่ 1,200-4,500 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหลัง โครงสร้างตัวถังเป็นอะลูมิเนียมทำให้มีน้ำหนักเบา ตามสเปคทำความเร็วสูงสุดได้ 238 กม./ชม.
สำหรับ Jaguar XE ทีมงานกระปุกคาร์รับหน้าที่เป็นผู้โดยสารตำแหน่งเบาะหลัง และรู้สึกได้เลยว่าสำหรับการเดินทางไกลขนาดนี้ ถ้าเป็น Jaguar XE 2.0 R-Sport ตำแหน่งผู้ขับขี่น่าจะเป็นอะไรที่ได้อรรถรสสุด เพราะในการโดยสารแล้วเราไม่ปลาบปลื้มกับความสปอร์ตของมันเลย ตั้งแต่ระบบกันสะเทือนที่แข็ง (ในความรู้สึกของผู้โดยสาร) รวมถึงการเก็บเสียงที่ดีมาก คือเก็บเข้าห้องโดยสารมาหมดทั้งเสียงลมและเสียงยางโดยเฉพาะเส้นทางบางช่วงที่สภาพผิวถนนใกล้เคียงดวงจันทร์ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าได้ง่ายมาก ดังนั้น Jaguar XE 2.0 R-Sport จึงเป็นรถที่ให้ความสะดวกสบายน้อยที่สุดแม้จะเรี่ยวแรงดีมีความสปอร์ต ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายกับขนาดตัวและราคาที่ถูกสุดในกลุ่มทดสอบ
อันดับที่ 4 Jaguar F-Pace 2.0 AWD Portfolio ราคา 5,999,000 บาท
Jaguar F-Pace 2017 ใหม่ รถ SUV คันแรกในประวัติศาสตร์ Jaguar โดยคู่แข่งในระดับใกล้เคียงคงหนีไม่พ้น Porsche Macan, BMW X3 และ Mercedes-Benz GLC-Class เป็นต้น ซึ่งในไทย Jaguar F-Pace 2017 มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย คือ 2.0 AWD Pure ที่เป็นรุ่นพื้นฐาน ราคา 4,499,000 บาท และ 2.0 AWD R-Sport ราคา 5,499,000 บาท
ส่วนคันที่นำมาทดสอบครั้งนี้จัดให้เป็นรุ่นสูงสุดคือ 2.0 AWD Portfolio ราคา 5,999,000 บาท ซึ่งเป็นระดับการตกแต่งที่เน้นความหรูหรากว่า Trim อื่น เพื่อเอาใจผู้บริหารนั่งโต๊ะไม่สปอร์ตฮาร์ดคอร์หรือใช้ชีวิตเอาท์ดอร์มากนัก
จากการที่ได้มีโอกาสทดลองขับ Jaguar F-Pace 2.0 AWD Portfolio ในแบบออน-โรดนั้นค่อนข้างจะเน้นความนุ่มนวลตามระดับการตกแต่ง คือไม่เน้นสปอร์ตจ๋า แข็งกระด้างจนเกินไป ซึ่งทำให้พบอาการโยนและย้วยบ้างหากเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงหรือหมุนพวงมาลัยเปลี่ยนทิศทางเร็วเกินไป ทั้งนี้คงเนื่องจากตัวรถมีความสูงแบบ SUV ด้วยอยู่แล้วส่วนหนึ่ง
ส่วนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel Drive ของ Jaguar F-Pace 2017 นั้นดูจะเน้นเรื่องของ Traction หรือการยึดเกาะมากกว่าความสามารถทางด้านออฟ-โรดอย่างจริงจัง ซึ่งในสภาพถนนปกติจะขับเคลื่อนเพียง 2 ล้อหลังเท่านั้น โดยจะมีระบบ Intelligent Driveline Dynamic (IDD) คอยจับอาการของตัวรถและช่วยจัดสรรแรงบิดอัตโนมัติส่งไปยังล้อหน้าทันทีเมื่อตัวรถสูญเสียการยึดเกาะ
![Jaguar - Land Rover Jaguar - Land Rover]()
แต่อย่างไรก็ตาม Jaguar F-Pace 2017 ใหม่ น่าจะเตรียมไว้ให้พอลุยได้บ้าง เนื่องจากติดตั้งระบบ Adaptive Surface Response (ASR) ที่ประยุกต์มาจากระบบ Terrain Response ของ Land Rover ซึ่งช่วยให้การส่งถ่ายกำลังของระบบ AWD ทำงานบนสภาพเส้นทางที่มีพื้นผิวที่ลื่นหรือไม่ราบเรียบได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น พร้อมกับระบบ All Surface Progress Control (ASPC) หรือระบบควบคุมความเร็วต่ำ (Low Speed Cruise Control) ที่สามารถกำหนดความเร็วได้ตั้งแต่ 3.6-30 กม./ชม. โดยไม่ต้องควบคุมคันเร่งทำให้ผ่านเส้นทางท้าทายได้อย่างนุ่มนวลราบรื่นมีเสถียรภาพและลดการกระชากจากการเติมคันเร่งเพื่อเพิ่มแรงบิดหากต้องมีการปีนป่าย หรือในกรณีที่ผู้ขับขี่ต้องการควบคุมคันเร่งเองยังสามารถเลือกใช้ฟังก์ชั่น Low-Friction Lauch (LFL) ก็จะป้องกันอาการสูญเสียแรงบิดหรือล้อหมุนฟรีแบบอัตโนมัติได้ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ในส่วนของเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ที่ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที และแรงบิด 430 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที นั้นตอบสนองว่องไว ที่สำคัญทำงานได้ราบรื่นและเงียบแทบไม่ต่างจากเครื่องยนต์เบนซินเลยทั้งในความเร็วสูงขณะเดินทางหรือใช้งานในเมืองที่รถติดขัดแบบภูเก็ต
โดยรวมแล้ว Jaguar F-Pace ถือว่ารถที่ลงตัวและน่าสนใจในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการใช้งานในเมืองหรือเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดบางครั้ง ด้วยขนาดที่พอเหมาะไม่เล็ก ไม่ใหญ่จนเกินไป ทัศนวิสัย พละกำลังรวมถึงอัตราสิ้นเปลืองที่ดี เพียงแต่สำหรับทริปนี้ที่มีตัวเลือกเยอะโดยเราไม่ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายใด ๆ (แค่ขับหรือนั่งอย่างเดียว) จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราให้ Jaguar F-Pace ได้แค่อันดับที่ 4 เท่านั้น
อันดับที่ 3 Range Rover Sport Hybrid HSE Dynamic ราคา 7,999,000 บาท
ก่อนอื่นต้องขอสารภาพตามตรงว่า เราไม่แน่ใจว่า Range Rover Sport Hybrid HSE Dynamic คันที่นำมาให้ทดสอบนั้นเป็นรุ่นใดระหว่าง Premium Package ราคา 6,999,000 บาท หรือ Luxury Package ที่ต้องเพิ่มเงินอีก 1 ล้านบาท
สำหรับ Range Rover Sport 2016 นี้ทางทีมงานกระปุกคาร์ไม่ได้ทดลองขับแต่ได้ลองนั่งเป็นผู้โดยสารทั้งด้านหน้าและหลัง ซึ่งความประทับใจนั้นอยู่ที่คุณภาพวัสดุรวมถึงการตกแต่งที่ดูดีมีสไตล์ (เน้นสปอร์ตเลยไม่อลังการเท่ากับ Range Rover Hybrid 2016) ตามแบบฉบับ Range Rover แม้ส่วนตัวจะขัดใจกับมาตรวัดแบบดิจิตอลที่อาจให้ความหวือหวาในช่วงแรก ซึ่งนาน ๆ ไปจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหลอก จืดชืดและน่าเบื่ออยู่บ้าง
แต่ถ้าพูดถึงห้องโดยสารของ Range Rover Sport Hybrid HSE Dynamic แล้ว รถทดสอบนั้นยังคงให้ความปลอดโปร่งเหลือเฝือแม้มีแนวหลังคาต่ำกว่า Range Rover Hybrid 2016 ชุดแผงหน้าปัดออกแบบให้ลาดเอียงกว่าเช่นกัน ภายในคันทดสอบให้ความรู้สึกสปอร์ตโมเดิร์นด้วยการจับคู่สีดำ อีโบนี (Ebony) และสีขาวปุยเมฆ ซีร์รัส (Cirrus) ดูแล้วสบายตา กับแถบประดับ Sport Textured Aluminium Finisher ซึ่งจุดนี้ลูกค้าน่าจะยังสามารถเลือกคู่สีรวมถึงแถบประดับอื่น ๆ ตามที่กำหนดไว้ได้ค่อนข้างหลากหลาย
ส่วนเรื่องความสบายในการเดินทางเบาะนั่งหน้า Range Rover Sport Hybrid 2016 นั้นนั่งได้สบายกว่าด้านหลังเนื่องจากปรับให้เข้ากับสรีระได้มากกว่า แต่เบาะนั่งหลังก็ถือว่าทำได้ดีโดยเฉพาะมุมมองที่โปร่งโล่ง
ในเรื่องความกว้างขวางนั้นไม่ค่อยเป็นปัญหาสำหรับ Range Rover มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว และตัว Sport นี้ก็เช่นกัน (ไม่นับ Range Rover Evoque) แต่เหตุผลที่ Range Rover Sport ทำได้เพียงอันดับ 3 ในแง่ของความสบายในการเดินทางแล้วคงเป็นเพราะคำว่า Sport ตัวเดียว เนื่องจากระบบกันสะเทือนเซตไว้แข็งและเฟิร์มกว่า Range Rover Hybrid 2016 แบบรู้สึกได้ (แต่ก็ยังถือว่านั่งได้สบายแม้จะใช้ล้ออัลลอย Style 602 ลาย 6 ก้าน ปัดขอบ Diamond Turned Finish ขนาด 21 นิ้ว) เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้รับความบันเทิงจากการขับขี่อย่างเต็มที่
บวกกับพลังของเครื่องยนต์ดีเซลไฮบริด ขนาด 3.0 ลิตร ที่ให้กำลังรวมสูงสุด 340 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที และแรงบิด 700 นิวตันเมตร ที่ 1,500 รอบ/นาที แล้วก็ไม่แปลกใจว่าทำไมสื่อหลายท่านที่ได้ร่วมทดสอบในวันนั้นต่างก็เทใจให้ Range Rover Sport เหนือกว่า Range Rover Hybrid ไปอย่างง่ายดายซึ่งถ้าตามอ่านจนจบจะรู้ว่าเพราะเหตุใด
อันดับที่ 2 Jaguar XJ L 2.0 Premium Luxury ราคา 7,999,000 บาท
XJ หรือที่ย่อมาจากคำว่า eXtra Journey เป็นรหัสดั้งเดิมเดียวที่ใช้กับรถ Jaguar มาตลอดแม้จะเปลี่ยนผ่านมาแล้วหลายยุคสมัย และสำหรับการเดินทางไกลทีมงานกระปุกคาร์ขอยกให้ Jaguar XJ 2.0 LWB (ฐานล้อยาว) Premium Luxury เป็นรถที่น่าโดยสารมากที่สุดรองจาก Range Rover Hybrid 2016 เพราะนอกเหนือจากความหรูหราของวัสดุ และการตกแต่งที่ลูกค้าเลือกสรรได้ตามรสนิยม รวมถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแล้ว เบาะนั่งทั้ง 4 ตำแหน่ง ยังสามารถปรับไฟฟ้าได้ทั้งหมดแถมมีระบบนวดมาให้ครบหน้า-หลัง
ด้านหลังพนักพิงเบาะแถวหน้ามีโต๊ะพับขนาดใหญ่และจอ LCD ขนาดพอเหมาะมาให้ เหมาะสำหรับผู้บริหารที่ไม่ต้องการแยแสกับโลกภายนอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะกรอบกระจกหน้าต่างค่อนข้างยกสูงและแคบแถมเป็นแบบ Privacy Glass ซึ่งไม่ต้องการให้ใครมาสอดส่องภายในด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้ความโปร่งโล่งภายในห้องโดยสารลดน้อยลงเมื่อเทียบกับ Range Rover ใหญ่ แต่ถ้ารู้สึกอึดอัดก็แค่เลื่อน Sun Shade นั่งมองท้องฟ้าผ่านหลังคากระจก Panoramic Roof ได้
![Jaguar - Land Rover Jaguar - Land Rover]()
อย่างไรก็ตามอีกจุดที่สำคัญซึ่งทำให้ Jaguar XJ L 2016 เดินทางได้อย่างสบายไม่เหนื่อยล้าเมื่อต้องเดินทางไกลเป็นระยะเวลานาน ๆ คือการจัดการกับเสียงรบกวนและระบบกันสะเทือนที่นุ่มนวลแต่กระชับพอดีโดยไม่ตัดการรับรู้ระหว่างผู้ขับขี่กับถนนออกไปเสียทั้งหมด จึงเป็นรถที่นั่งหลังก็สบายหรือขับเองก็ไม่เครียด ถึงจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบ ที่มีขนาดความจุเพียง 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิด 320 นิวตันเมตร ที่ 1,750-4,000 รอบ/นาที บล็อกเดียวกับ Jaguar XE 2.0 ที่ส่งกำลังผ่านเกียร์ 8 สปีด ตอบสนองได้ดีในรอบต่ำ-กลางตามสไตล์เครื่องเทอร์โบ แม้ว่าขาดบุคลิกสุขุมแต่ทรงพลังแบบ Jaguar XJ เครื่องใหญ่ในอดีตไปบ้าง แต่ก็แลกมาด้วยความประหยัดระดับ 7.5-8 กม./ลิตร (จากช่วงที่ทดสอบ) ถือว่าพอให้อภัยได้และหนีไปนั่งหลังเสียเป็นการจบปัญหา
อันดับที่ 1 Range Rover Hybrid Autobiography ราคา 9,999,000 บาท
ที่สุดแห่งความสบายสำหรับทริปนี้ทีมงานกระปุกคาร์ขอมอบมงให้กับ Range Rover Hybrid 2016 ราชาแห่งออฟ-โรดจากฝั่งอังกฤษ ซึ่งคันที่นำมาทดสอบเป็นระดับการตกแต่ง Autobiography คือเป็นระดับการตกแต่งที่ค่อนข้างให้อิสระลูกค้ามากพอควร เพราะโดยปกติการเลือก Trim มักจะมีข้อแม้ เช่น สีนี้ห้ามคู่กับสีนั้น หรือมีการจัดชุดคู่สีไว้ให้ (เพื่อไม่ให้ออกมาดูแย่เสียชื่อแบรนด์) เป็นต้น
แต่ระดับการตกแต่ง Autobiography จะไม่มีข้อห้ามนี้ แม้จะมิกซ์แล้วไม่แมทช์ท่านผู้เชี่ยวชาญก็จะพยายามเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่ขัดใจลูกค้าที่มั่นใจในรสนิยมของตนเองถ้าเป็นความต้องการ (เหนือกว่านี้ก็เป็นแบบ Bespoke) เพราะฉะนั้นระดับการตกแต่งแบบ Autobiography จัดว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสียหากรสนิยมในการเลือกตกแต่งไม่แข็งแรงพอก็อาจเป็นภัยร้ายแรงได้เช่นกัน
ในเรื่องของความสะดวกสบายของ Range Rover Hybrid Autobiography นั้นมีให้แบบเหลือ ๆ เพราะขนาดตัวที่ใหญ่โต (นี่แค่ระดับ Standard Wheel base เท่านั้นนะ) ส่งผลให้พื้นที่ภายในกว้างขวางราวกับห้องจัดเลี้ยง มีการตกแต่งอย่างประณีตแทบทุกจุด ทัศนวิสัยยอดเยี่ยมเหมาะแก่การนั่งชมทิวทัศน์ระหว่างทางแบบกำนันสไตล์มาก
ระบบกันสะเทือนแบบสปริงลมให้ความนุ่มนวลสูงแม้ผ่านสภาพถนนที่ค่อนข้างแย่บางช่วง Range Rover Hybrid 2016 คันนี้แถบจะลอยผ่านไปเลย แต่ถ้าไม่ชินช่วงแรก ๆ ก็อาจมีอาการเมารถบ้างจากอาการดิ้น (คล้ายไกวเปล) นิด ๆ เพราะความนุ่ม โดยเฉพาะในช่วงความเร็วต่ำ แต่ในระดับความเร็วเดินทางแล้วน่าประทับใจมากสำหรับลูกค้าที่เน้น Ride Quality มากกว่าความสปอร์ตแบบ Range Rover Sport Hybrid 2016
ส่วนขุมพลังของ Range Rover Hybrid 2016 นั้นเหมือนกับที่ใช้ใน Range Rover Sport เรี่ยวแรง เร่งแซงดี ขับขี่สบาย พาทีมทดสอบถึงจุดหมายปลายทางได้ราวกับล่องลอย ไม่เหนื่อยล้าแบบรถเล็ก เปรียบได้กับสวรรค์แห่งการเดินทางที่ทุกอย่างสมบูรณ์แบบและยิ่งใหญ่ วิจิตรอลังการ แต่แน่นอนว่าต้องแลกมาด้วยราคาค่าตัวที่สูงลิบลิ่วมากที่สุดในการทดสอบครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามรถแต่ละคันค่อนข้างจะมีบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน และการจัดอันดับครั้งนี้เรามองในเรื่องของความสบายในการเดินทางเป็นหลัก ซึ่งอันที่จริงคงต้องขึ้นอยู่กับบุคลิก ความชอบ รวมถึงเงินในกระเป๋าของลูกค้าว่าพร้อมลงทุนมากน้อยแค่ไหนอันนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่เราไม่ได้นำมารวมด้วยในครั้งนี้