หลังจากที่ได้เปิดตัว Suzuki Ertiga 2016 พร้อมรูปลักษณ์ใหม่ไปไม่นาน ทางบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ก็ได้เชิญเหล่าสื่อมวลชนร่วมกิจกรรมท่องเที่ยวพร้อมสัมผัสสมรรถนะกับ “New Suzuki Ertiga” ซึ่งทำให้กระปุกคาร์ได้มีโอกาสไปร่วมทดลองขับรถอเนกประสงค์ 3 แถว 7 ที่นั่งคันล่าสุดบนเส้นทาง พิษณุโลก อุตรดิตถ์ สุโขทัย ครั้งนี้ด้วย
สำหรับ การทดลองขับ Suzuki Ertiga 2016 นั้นทาง Suzuki จัดเตรียมไว้ให้ครบทั้ง 2 รุ่นย่อยทั้ง Dreza ราคา 715,000 บาท และ GL ราคา 655,000 บาท
ทางทีมงานกระปุกคาร์ได้ร่วมทดลองขับและโดยสารร่วมกับสื่อมวลชนอื่นอีก 3 ท่านนั้นเป็นรุ่นย่อย Dreza สีขาว เพิร์ล สโนว์ ไวท์ ที่เป็นรุ่นสูงสุด ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 1.4 ลิตร 92 แรงม้า และแรงบิด 130 นิวตันเมตร ซึ่ง Suzuki Ertiga 2016 จะมีแค่เกียร์อัตโนมัติแบบ 4 จังหวะให้เลือกเท่านั้น
รุ่น Dreza
รูปลักษณ์ใหม่ของ Suzuki Ertiga 2016 นั้นโดดเด่นสะดุดตากว่าเดิมพอสมควร โดยเฉพาะรุ่น Dreza คันจริงที่มีกระจังหน้าลายชวนงงหน่อย ๆ กับช่องดักอากาศแนวนอนรูปปีกนก ล้อมรอบด้วยโครเมียมบริเวณกันชน รวมไปถึงล้ออัลลอยลายใหม่แบบทูโทน ด้านข้างเสริมสเกิร์ตคาดโครเมียมหรูหรารุ่น GL
ส่วนรุ่น GL มาในแบบที่เรียบร้อยกว่าด้วยกระจังหน้าโครเมียมใหม่คาดเต็มจรดไฟหน้าทั้ง 2 ฝั่ง ในขณะด้านท้ายทั้งรุ่น Dreza และ GL นั้นไม่แตกต่างกันซึ่งเพิ่มแถบโครเมียมขนาดใหญ่ และแผงทับทิมเหนือกรอบป้ายทะเบียนมาให้ทำให้ตัวรถดูกว้างและแปลกตาขึ้น กันชนท้ายดีไซน์ใหม่แต่ก็ยังคล้าย ๆ กับรุ่นก่อนหน้าหลังจากที่สำรวจภายนอกของรถที่ทาง Suzuki จัดเตรียมไว้ให้ทดลองขับกันสักพักก็ได้เวลาเริ่มออกเดินทางจากที่พัก โรงแรมภัทธารา รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดพิษณุโลก ไปยังจังหวัดสุโขทัย
ทันทีที่เปิดระตูและก้าวเข้าไปภายในของ Suzuki Ertiga 2016 รุ่นย่อย Dreza สิ่งแรกที่เห็นว่าเปลี่ยนไปจากเดิมคือห้องโดยสารเล่นสีแบบทูโทน เบาะผ้าสลับกำมะหยี่และแผงหน้าปัดครึ่งบนสีน้ำตาลตัดกับสีครีม ประดับด้วยลายไม้รวมถึงบานประตูเฉพาะคู่หน้า (รุ่นย่อย GL เป็นสีเงิน) นอกจากนั้นการออกแบบไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าแต่ด้วยการใช้โทนสีใหม่ทำให้รู้สึกอบอุ่นหนักแน่นขึ้น
อุปกรณ์ภายในมีมาให้เท่าที่จำเป็นแต่ก็เพียงพอต่อการใช้งาน อย่างเครื่องเสียง Built in แบบ 2 DIN ระบบปรับอากาศ 2 ตอน ถุงลมนิรภัยมีมาให้ทั้งฝั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร กระจกไฟฟ้าฝั่งผู้ขับขี่แบบอัตโนมัติ พร้อมระบบ Jam Protection เซ็นเซอร์และสัญญาณเตือนขณะถอย ส่วนระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมกระจายแรงเบรก EBD มีให้เฉพาะรุ่น Dreza เท่านั้น
เริ่มต้นการเดินทางช่วงแรกด้วยการเป็นผู้โดยสารในตำแหน่งเบาะนั่งแถว 3 โดยรุ่นใหม่นี้แบ่งพับได้แบบ 50:50 ซึ่งคุณวัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้บรีฟก่อนการเดินทางว่ากว้างขวางที่สุดแต่อาจเหมาะสำหรับบุตรหลานมากกว่านั้นปรากฎว่า นั่งสบายกว่าที่คาดไว้ ทั้งความนุ่มของตัวเบาะรองนั่ง พนักพิงหลังและศรีษะเพียงแค่ปรับระดับเอนไม่ได้เท่านั้น
บริเวณพื้นที่วางขายังมีเหลือพอและไม่ต้องนั่งชันเข่ามาก (ผู้ทดสอบสูง 178 ซม.) ซึ่งผู้โดยสารที่ร่วมทดสอบในเบาะแถวที่ 2 ได้ปรับให้อยู่ในตำแหน่งสำหรับโดยสารจริงแล้ว แม้ว่าจะสบายน้อยกว่าแถวที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่รู้สึกอึดอัดเพราะตำแหน่งเบาะนั้นอยู่สูงและยังเหลือพื้นที่เหนือศรีษะจนเรียกได้ว่าโปร่งสบาย
แอร์ตอนหลังบนเพดานช่วงกลางรถทำหน้าที่ได้ดีถึงตอนที่ทดสอบนั้นเป็นวันที่แดดจัดแม้รถคันทดสอบจะไม่ได้ติดฟิล์มเลยก็ตาม
เมื่อถึงช่วงที่สองเป็นช่วงของทีมงานกระปุกได้เปลี่ยนจากผู้โดยสารแถวที่ 3 มาเป็นผู้ทดลองขับ ในตำแหน่งขับขี่นี้ให้ทัศนวิสัยที่โปร่งโล่งมองเห็นโดยรอบได้ชัดเจน ด้วยตำแหน่งเบาะนั่งที่อยู่สูงกว่ารถยนต์นั่งแบบ 4 ประตูทั่วไป
ช่วงที่สองนี้เป็นระยะทางที่ไม่ไกลมากเช่นเดียวกับช่วงแรกและยังเป็นช่วงที่อยู่ในเขตชุมชนเป็นหลักจึงไม่มีโอกาสให้ใช้ความเร็วสูงหรือเร่งแซงได้บ่อยครั้งนัก
แต่เมื่อต้องการอัตราเร่งอย่างรวดเร็วเพื่อตามรถคันหน้าหรือเร่งแซงในขณะที่มีผู้ขับขี่รวมผู้โดยสารอีก 3 ท่าน มีน้ำหนักมากกว่า 300 กิโลกรัม บวกกับตัวรถไปอีก 1,195 กิโลกรัม
การคิกดาวน์อาจต้องกะจังหวะและให้เวลากับการเค้นกำลังจากเครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร 92 แรงม้า ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ 4 จังหวะ กันพอสมควรโดยที่กล่าวมานั้นต้องบอกก่อนว่าผู้ทดลองขับอาศัยวัดจากความรู้สึกเนื่องจากไม่อำนวยให้ใช้อุปกรณ์จับเวลาด้วยตัวเลขซึ่งจะให้ผลที่แม่นยำชัดเจนกว่า
ในส่วนของระบบกันสะเทือนยังคงเหมือนรุ่นก่อนไม่เปลี่ยนแปลง (แต่แชสซีส์มีการปรับปรุงใหม่ทำให้เบากว่าเดิม 70 กิโลกรัม) ด้านหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมคอยล์สปริง ส่วนด้านหลังเป็นทอชั่นบีมพร้อมคอยล์สปริง
ช่วงที่ได้ทดลองขับนี้ไม่มีโอกาสให้ใช้ความเร็วสูงเกิน 120 กม./ชม. แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับการเดินทางปกติทั่วไป ให้ความสบายและมั่นใจได้ดีเมื่อเทียบกับประเภทของรถ
บางช่วงเมื่อผ่านสภาพเส้นทางที่ขรุขระมากหน่อยอาจมีอาการโยนตัวให้เห็นบ้าง พวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียนให้การตอบสนองว่องไวคล่องตัวและเบามือในความเร็วต่ำถึงปานกลาง แต่สำหรับความเร็วสูงเกิน 120 กม./ชม. ไปนั้นอย่างที่บอกไว้เรายังไม่มีโอกาสได้ทดลองขับซึ่งเป็นเส้นทางตรงยาวและโค้งกว้างมีรถสัญจรไปมาน้อยนั้นที่อยู่ในช่วงที่สามและสี่เสียมากกว่า
สำหรับช่วงที่สามหลังจากแวะชมพิพิธภัณฑ์สังคโลกที่จังหวัดสุโขทัยและรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางทีมงานกระปุกได้สลับมานั่งในตำแหน่งผู้โดยสารแถวที่ 2 พบว่าเป็นตำแหน่งที่นั่งสบายเหมาะสำหรับการเดินทางมากสำหรับรถอเนกประสงค์ขนาดเล็ก และรู้สึกโปร่งโล่งด้วยช่องหน้าต่างหลังขนาดใหญ่มากและหลังคาที่สูง
เบาะแถวสองยังปรับเอนได้ตราบเท่าที่ไม่มีผู้โดยสารแถว 3 พร้อมที่เท้าแขนตรงกลางมาให้ นอกจากนี้ Suzuki Ertiga 2016 รุ่นย่อย Dreza ยังให้ช่องจ่ายไฟสำรองขนาด 12 V เพิ่มมาให้สำหรับผู้โดยสารตอนหลังอีก 1 จุด สำหรับเสียบอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งกลายเป็นสิ่งจำเป็นไปแล้วในปัจจุบันโดยไม่ต้องไปแย่งชิงตบตีกับผู้โดยสารตอนหน้า
เส้นทางที่ตรงยาวสลับกับโค้งบนทางหลวงสายชนบทในการทดสอบช่วงนี้บวกกับเบาะนั่งแถว 2 ที่นั่งได้สบายกล่อมให้เผลอหลับได้ง่ายมาก ก่อนไปถึงจุดสุดท้ายเพื่อพักจิบกาแฟกันที่ ไร่องุ่นคานาอัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ก่อนเปลี่ยนเป็นมือผู้ขับเป็นช่วงสุดท้ายวกกลับที่พักจังหวัดพิษณุโลก
ในช่วงที่สี่ วิ่งยาวนับร้อยกิโล ทางทีมงานกระปุกได้สลับตำแหน่งมาเป็นผู้โดยสารด้านหน้าแทนซึ่งปีกเบาะรู้สึกกระชับตัวมากไปหน่อยแต่สักพักก็เริ่มชินและนั่งได้สบายขาดแต่ที่เท้าแขนฝั่งขวาเท่านั้นก็จะลงตัวมาก
ในช่วงนี้เองที่เป็นถนนเส้นหลักกว้างหลายเลนและโล่งพอสมควร ผู้ทดลองขับจึงมีโอกาสได้ลองเหยียบคันเร่งไปจนถึง 160 กม./ชม. ในช่วงสั้น ๆ ก่อนจะกลับมาใช้ความเร็วเดินทางปกติ
ตำแหน่งผู้โดยสารตอนหน้าไม่ได้รู้สึกว่าตัวรถนั้นเร็วจนน่ากลัวหรือแสดงอาการไม่มั่นคงออกมา หากไม่มองเข็มไมล์ที่หน้าปัดก็ไม่รู้เลยว่าใช้ความเร็วสูงในขณะนั้น ยกเว้นเสียงลมและเครื่องยนต์ที่เริ่มดังขึ้นมากกว่าปกติบ้าง ซึ่งจริง ๆ แล้ว Suzuki Ertiga 2016 เป็นรถมินิ MPV ที่กันเสียงลมปะทะตัวรถภายนอกได้ดีพอสมควร
ที่ได้ยินบ่อยก็คือเสียงเครื่องยนต์ที่จะเริ่มเล็ดลอดเข้ามาเมื่อรอบเครื่องเกิน 2,500 รอบ/นาทีและจะดังชัดขึ้นเรื่อย ๆ หากมีการลากรอบสูงขึ้นก่อนจะตัดที่ 6,000 รอบ/นาที ซึ่งการเดินทางครั้งนี้จะใช้ความเร็วส่วนใหญ่อยู่ที่ 100-120 กม./ชม. ซึ่งรอบเครื่องจะอยู่ประมาณ 2,500-3,000 รอบ/นาที แต่ก็ไม่ได้รบกวนการเดินทางมากจนผู้โดยสารเผลอหลับไปหลายรอบกว่าจะถึงจุดหมาย เป็นอันสิ้นสุดการทดลองขับและนั่งเสียเป็นส่วนใหญ่ครั้งนี้กับ Suzuki Ertiga 2016
บทสรุปจากความเห็นส่วนตัวของผู้ทดลองขับในช่วงสั้น ๆ และโดยสารยาว ๆ สลับไปทุกตำแหน่งครั้งนี้ นับว่า Suzuki Ertiga 2016 เป็นรถเอนกประสงค์ขนาดเล็กที่กว้างขวางเกินพิกัด
การเก็บเสียงดีเบาะนั่งสบายทั้ง 3 แถวตามลำดับ ทำให้ไม่ถึงกับเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากับการเดินทางมากและยังเผลอหลับได้สบายด้วย แต่ถ้าไกล ๆ หรือเบาะแถวที่ 3 อาจต้องทำใจบ้างว่าไม่สบายเท่าตำแหน่งอื่น ๆ แต่ถือว่าดีกว่าที่คาดหวังไว้ก่อนทดสอบ
ความนุ่มนวลของระบบกันสะเทือนสำหรับความเร็วการเดินทางปกติใช้งานได้ดีมีตึงตังบ้างบางสภาพเส้นทางแต่ไม่ถึงขั้นกระด้างจนน่าเกลียด
ส่วนของพละกำลังที่ดูเหมือนจะเป็นประเด็นนั้นถ้าเทียบกับน้ำหนักตัวรถและผู้โดยสารในการทดลองขับครั้งนี้รวมแล้วก็ประมาณ 1.5 ตัน กับเครื่องยนต์ขนาดแค่ 1.4 ลิตร 92 แรงม้า ก็คงต้องทำใจยอมรับและให้เวลามันเสียหน่อย
หากต้องการรถยนต์อเนกประสงค์สำหรับครอบครัวแบบ 3 แถว 7 ที่นั่งในงบ 6-7 แสนบาท ที่เดินทางได้สบายนับว่า Suzuki Ertiga 2016 เป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับการตัดสินใจ