รถคันแรกกว่าครึ่งมาพร้อมกับคนขับครั้งแรก อะไรบ้างที่จะเกิดตามมาเมื่อรถใหม่กับผู้ไร้ประสบการณ์ออกสู่ท้องถนนพร้อม ๆ กันบอกได้เลยว่ามีปัญหาตามมาเยอะแยะแน่นอน ประเด็นที่สำคัญคือ ปัญหาด้านสังคม มันไม่ใช่เรื่องยากที่มือใหม่จะเรียนรู้ อย่าว่าแต่มือใหม่เลย มือเก่ากว่าครึ่งก็ไม่รู้และไม่ได้สนใจมาก่อน ลองมาดูว่ามารยาทที่มือใหม่และมือเก่าบางส่วนไม่เคยรู้มีอะไรบ้าง
2. ไม่ขับจี้ท้ายคันหน้า
1. ไม่ขับแช่ขวา
เป็นเรื่องที่หลายคนไม่รู้
และหลายคนก็เข้าใจผิดเอาเรื่องที่ไม่ค่อยรู้กันก่อนว่า
บนถนนที่มีมากกว่าสองเลนขึ้นไปนั้นเราไม่ควรขับแช่ขวา
แม้ว่าเราจะขับตามความเร็วที่กฎหมายกำหนดก็ตามที
บนถนนที่โล่งแม้ว่าคุณจะขับมาเร็วเท่าไหร่ก็ตามทีก็ไม่ควรวิ่งแช่เลนขวา
ปัญหาที่เราเจอกันทุกวันนี้คือเรื่องของมารยาทในการับขี่กับเรื่องนี้มากขึ้น
หลายครั้งบนถนนมีสภาพการจราจรหนาแน่น เคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ
เมื่อสามารถไล่เลาะหาช่องว่างเพื่อแทรกไปข้างหน้าสุดได้กลับพบว่ามีรถวิ่งแช่ขวาด้วยความเร็วคงที่
อาจจะตามกฎหมายกำหนดพอดี
แต่มันทำให้รถที่มาข้างหลังติดยาวเป็นแพหลายกิโลเมตร
ดังนั้นไม่ว่าจะถนนโล่งหรือไม่ จะขับช้าหรือขับเร็ว
ควรวิ่งเลนกลางหรือเลนที่สองถัดจากเลนขวาสุด
และโปรดจำไว้เสมอว่าถ้าวิ่งเลนขวาแล้วมีรถมาจ่อท้ายเมื่อไหร่นั่นแสดงว่าคุณวิ่งช้าไป
โดยมารยาทแล้วคุณต้องเปิดไฟเลี้ยวซ้ายและหลบให้ทางรถที่มาข้างหลัง
หลายครั้งผู้ที่ไม่รู้มารยาทเรื่องนี้กลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
หาว่ารถคันหลังยกไฟสูงไล่
อันที่จริงมันก็ถูกของเขาเพราะเลนขวาคือเลนสำหรับรถที่เร็วกว่า
ไม่อย่างนั้นจะมีป้าย “ขับช้าชิดซ้าย” บนท้องถนนทำไม
และอย่าลำพองว่าก็วิ่งมา 160-170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แล้วมันช้าตรงไหนตอบได้เลยว่ามันช้าเพราะคันที่มาข้างหลังเขาเร็วกว่านั่นเอง
2. ไม่ขับจี้ท้ายคันหน้า
นอกจากขับแช่ขวาแล้วนี่เป็นอีกเรื่องที่ทำให้เกิดปัญหาบนท้องถนน
ทั้งเรื่องอุบัติเหตุและเรื่องของการวิวาทบนท้องถนน มือใหม่มักจะขับรถคล้าย
ๆ กับต้นแบบไม่ว่าจะเป็นครูผู้สอน ญาติพี่น้อง
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาพที่เห็นและเป็นความเคยชินนั่นเอง
ทำไมถึงไม่ควรขับจี้ท้ายรถคันหน้า ง่าย ๆ
ก็คือเรื่องของอุบัติเหตุนั่นเอง
ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าอุบัติเหตุกรชนท้ายบ้านเรานั้นส่วนมากมักจะเกิดครั้งละหลาย
ๆ คัน บางจุดบางแห่งชนท้ายกันนับสิบคันก็มี และพบได้บ่อยครั้ง
ลองคิดง่าย ๆ ว่าเวลาคุณเดินในที่ชุมชนมีผู้คนเยอะ ๆ
ลองเดินชิดคนด้านหน้าห่างสัก ช่วงแขนเดียว
ถ้าคนหน้าสูงเท่ากันหรือสูงกว่าคุณ
คุณจะมองอะไรด้านหน้าไม่ค่อยเห็นนอกจากแผ่นหลัง มุมมองคุณจะแคบลงมาก
กรณีที่คนด้านหน้าหลบอะไรก็ตามโอกาสที่คุณจะหลบทัน
หรือกรณีหยุดเดินกะทันหันโอกาสจะชนก็มีมากตามไปด้วย
เมื่อเราเว้นระยะห่างให้มากขึ้นเป็นสองหรือสามช่วงแขนจะเห็นชัดเจนว่าเรามีมุมมองกว้างขึ้น
เมื่อคนหน้าหลบหรือหยุดกะทันหันเราจะมีเวลาหลบหรือหลีกเลี่ยงการชนได้มากขึ้น
การขับรถก็เช่นกัน
ด้วยความเร็วที่มากขึ้นระยะห่างจากรถคันหน้าก็ต้องมีมากขึ้นตามไปด้วย
รวมถึงปัญหาที่ตามมาด้านกฎหมายรถที่ขับตามกันมาต้องเว้นระยะห่างจากคันหน้า
เพียงพอที่จะหยุดได้อย่างปลอดภัยเมื่อคันหน้าเกิดอุบัติเหตุหรือหยุดอย่างกะทันหันหมายความว่าถ้าขับตามกันมาแล้วคุณไปชนท้ายเขาก็หมายความว่าคุณผิดเต็ม
ๆ
หลายครั้งหลังการชนผู้ที่มาชนท้ายกลับลงมาโวยวายว่ารถคันหน้าเบรกกะทันหันทำไม
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิด
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนใหญ่ที่แม้แต่มือเก่าก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง
3. ต้องให้รถทางขวาไปก่อน
เมื่อคุณขับมาถึงทางร่วม ทางแยก
และวงเวียนคนส่วนมากไม่รู้เลยว่า “ต้องให้รถทางขวาไปก่อน”
เมื่อขับมาถึงทางแยกใหญ่ไม่ว่าจะสามแยกหรือสี่แยกกรณีที่ไม่มีสัญญาณไฟจราจรรวมถึงเมื่อขับเข้าวงเวียนต้องให้รถทางขวาไปก่อนเสมอ
เนื่องจากบ้านเราขับเลนซ้าย
เมื่อถึงแยกหรือวงเวียนรถที่มาทางขวาจะถือว่ามาก่อน
ดังนั้นต้องลดความเร็วและดูให้ปลอดภัยก่อนเสมอ
เมื่อคุณจะเข้าทางหลัก เช่น
วิ่งอยู่ถนนคู่ขนานแล้วจะเบี่ยงขวาเข้าช่องหลัก
ก็ต้องชะลอให้รถที่มาทางตรงไปก่อน เช่นกัน พูดง่าย ๆ
ก็คือถ้าจะเปลี่ยนจากช่องทางเดิมไปช่องทางคนอื่นก็ต้องหาจังหวะและให้รถทางหลักไปก่อน
กรณีที่คุณวิ่งทางหลักแล้วจะออกถนนคู่ขนานก็ต้องระวังรถทางซ้ายให้ดี
เพราะเข้ากรณีที่เปลี่ยนไปใช้ช่องทางของคนอื่นเขา
4. รักษาเลนของตัวเองเวลาเลี้ยว
ช่วงหลังพบปัญหาเหล่านี้บ่อยครั้งมาก ๆ
เวลาจอดอยู่ตามแยกใหญ่ที่มีหลายคน
บางครั้งเราขับเลนขวาสุดเมื่อเราเลี้ยวขวาแล้วก็ต้องรักษาช่องทางขวาเอาไว้
ถ้าคุณมาเลนที่สองจากขวา เมื่อเริ่มเลี้ยวก็ต้องรักษาช่องทางตั้งแต่เริ่ม
จนเลี้ยวขวาเสร็จก็ต้องรักษาเลนที่สองจากขวาไว้
หลายครั้งเจอคนที่ไม่รู้
หลังจากเลี้ยวเสร็จไม่รักษาเลนของตัวเองไว้
เช่นจากเลนที่สองจากขวาเมื่อเลี้ยวแล้วก็ปาดมาขวาสุดทันใด
ทำให้เกิดการเบียดเสียดกลางแยก รถไปได้ช้า
หลายครั้งก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุด้วย
ต้องจำไว้เสมอว่าถ้าคุณอยู่เลนไหนเลี้ยวแล้วก็ต้องรักษาแนวให้อยู่ในเลนนั้น
5. ไม่ขับไปคุยไป
ผู้ที่มีประสบการณ์น้อยบนท้องถนน
มักจะพุ่งสมาธิไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
หลายครั้งนั่งไปกับมือใหม่เมื่อโทรศัพท์เข้าแม้จะใช้อุปกรณ์ช่วย
แต่ก็ไม่สามารถทำให้เขามีสมาธิได้มากขึ้นเลย
จากการมีสมาธิกับท้องถนนเบื้องหน้าเต็มร้อย
เมื่อคุยโทรศัพท์สมาธิครึ่งหนึ่งไปอยู่กับการคุยมากกว่าถนนเบื้องหน้า
แม้จะเห็นว่าผู้ขับพยายามจะใช้สมาธิในการขับเหมือนเดิมก็ตามที
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือความเร็วลดลงจากเดิม 20-30 เปอร์เซ็นต์วิ่งมา 100
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็เหลือ 70-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยไม่รู้ตัว
นอกจากนี้ประสาทการรับรู้โดยเฉพาะการฟังหายไปเกือบครึ่ง
หลายคนเข้าโลกส่วนตัวโดยไม่รู้ตัวว่าคันหลังบีบแตรไล่แล้ว
กว่าจะรู้ตัวว่าคันหลังบีบแตรไล่ก็หลังจากวางสายนั่นแหละ
เรื่องนี้กลายเป็นปัญหารถชะลอตัวบ่อยครั้ง
เพราะมักจะเป็นกับพวกชอบขับแช่เลนขวาด้วย ขับไปคุยไปไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
พอวางสายเหมือนสติจะกลับมาอีกครั้ง
เรื่องนี้นอกจากจะทำให้รถชะลอตัวแล้วยังจะทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทตามมาด้วยและหลายครั้งทำให้เกิดอุบัติร้ายแรงเพราะคุยจนเข้าภวังค์
ลืมดูแม้กระทั่งสัญญาณไฟแดงสัญญาณเตือนรถไฟ
หลายคนลืมจ่ายเงินเมื่อถึงช่องทางด่วนด้วยซ้ำ ถ้ารักชีวิตรับสายแล้วพูดสั้น
ๆ ว่า อีกสักครู่จะโทร. กลับ ตอนนี้ขับรถอยู่
6. ปิดสปอตไลท์ในเมือง
ทั้งมือใหม่และเก่าไม่รู้เลยว่าสปอตไลท์และไฟตัดหมอก ตาม
พ.ร.บ. จราจร ให้เปิดใช้ได้เฉพาะเมื่อฝนตกหนักหรือหมอกลงจัดเท่านั้น
แต่ทุกวันนี้ในเมืองเราจะเห็นว่ารถราคาไม่กี่แสนยันหลายล้าน
ต่างเปิดกันเกลื่อนเมืองทั้ง ๆ ไม่มีความจำเป็นเลย
ไฟหน้าของรถสมัยนี้มีความสว่างเพียงพอไฟถนนก็มีความสว่างเพียงพอ
ไฟสปอตไลท์ที่กันชนหน้านั้นแม้มันจะติดไว้ต่ำ
แต่เลนส์เป็นลักษณะกระจายแสงไม่ได้รวมแสงเหมือนไฟหน้า
ดังนั้นมันจะส่องแยงตารถคันที่สวนมาหรือแยงเข้ากระจกมองข้างและหลังของรถคันหน้า
เป็นการรบกวนสายตาทำให้สมาธิลดลง
ส่วนไฟตัดหมอกหลัง ชื่อก็บอกแล้วว่าไฟตัดหมอก
แต่หลายคนคิดว่าเป็นไฟแฟชั่นเปิดวิ่งเพราะคิดว่าสวยดี
รถคันอื่นไม่มีแต่รถเรามีโดยหารู้ไม่ว่ามันผิดกฎหมาย
และรบกวนสายตาของรถที่วิ่งตามหลังมาอย่างมาก
ควรจะต้องเลือกใช้ให้ถูกกาลเทศะด้วย
ถ้าเปิดตอนฝนตกหนักหรือหมอกลงจัดจะเป็นการช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับตนเอง
ตอนนี้ตำรวจเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
โดยจะเน้นการกวดขันจับกุมอย่างจริงจัง
เพื่อให้ผู้ขับขี่มีวินัยในการใช้มากขึ้น
7. ใจเย็นและปล่อยวาง
อันนี้เป็นปัญหาของคนส่วนมากเมื่ออยู่บนท้องถนน
หลายคนเมื่อนั่งหลังพวงมาลัยกลับกลายว่าวิญญาณร้ายเข้าสิง
กลายเป็นคนอารมณ์ร้อนโดยไม่มีเหตุผล
เพราะพวกเห็นแก่ตัวเยอะและไม่มีมารยาทเยอะเหลือเกิน
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อชีวิตและทรัพย์สินควรใจเย็นและปล่อยวางใครจะปาดจะแทรกก็ปล่อยไปอย่าไปแลก
มันไม่คุ้มที่จะเอาเวลาและชีวิตอันมีค่าเข้าไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
อย่าปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นปัญหาสังคมเช่นคนเหล่านั้นเลย
หลายครั้งการทะเลาะวิวาทจนบาดเจ็บล้มตายซึ่งมันไม่คุ้มค่าเลย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือ GM CAR
Vol.18 No.235 กุมภาพันธ์ 2556
สนใจให้รีวิว รถใหม่ รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ Test Drive วิดีโอโปรโมต และ Content & Social Marketing คลิกเลย