อะไรคือ SKYACTIV-X ?
SKYACTIV-X คือการปฏิวัติของเครื่องยนต์ครั้งแรกในโลก (แบบ Mass Production เพราะก่อนหน้านี้ GM เคยคิดค้นมาก่อนแต่ก็ไม่ได้นำมาใช้จริง) ที่สามารถนำการจุดระเบิดในห้องเผาไหม้โดยการบีบอัดแบบเครื่องยนต์ดีเซลมาใช้กับเครื่องยนต์เบนซินได้
ทำไม SKYACTIV-X ยังสำคัญ ?
การพัฒนาเทคโนโลยีนี้ของ Mazda เป็นการมองและวิเคราะห์ถึงการปล่อยมลพิษของยานยนต์ทั้งระบบตั้งแต่ต้นทาง (แหล่งพลังงาน เช่น บ่อน้ำมัน) จนถึงปลายทาง (รถยนต์) แบบ Well-to-Wheel ไม่ใช่แค่มองที่ปลายทาง (แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะไร้มลพิษจริง แต่ถ้าตราบใดที่โรงงานไฟฟ้ายังปล่อยมลพิษ เช่น โรงงานไฟฟ้าถ่านหินก็ใช่ว่าจะไร้มลพิษแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหลายฝ่ายรู้แต่เลือกที่จะข้ามไม่พูดถึง)
แน่นอนว่า Mazda เองมีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าก็ควรเป็นพลังงานสะอาดตั้งแต่ต้นเช่นกัน อีกทั้ง Mazda จะเพิ่มรถยนต์ไฮบริดและปลั๊ก-อินในปี 2020 แต่รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในจะยังคงเป็นรูปแบบหลักต่อไปก่อนในสัดส่วนประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ จนถึงปี 2035
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม Mazda จึงต้องพัฒนาเทคโนโลยี SKYACTIV-X ที่จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งระบบตั้งแต่ well-to-wheel ได้มากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ในปี 2030 (เทียบกับปี 2010) และเพิ่มสูงสุดถึง 90 เปอร์เซ็นต์ในปี 2050
ในเครื่องยนต์เบนซินปัจจุบัน เชื้อเพลิงกับอากาศถูกผสมในห้องเผาไหม้และจุดระเบิดด้วยประกายไฟจากหัวเทียน แต่สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลนั้น เชื้อเพลิงกับอากาศจะถูกบีบอัดและจุดระเบิดได้ด้วยตัวเองโดยแรงอัดรวมถึงความร้อน อีกทั้งยังให้อัตราส่วนของพลังงานที่เกิดขึ้นมากกว่าจึงใช้เชื้อเพลิงได้บางลง (เพิ่มอากาศ) ส่งผลให้มีอัตราสิ้นเปลืองที่ดี
ทั้งนี้ความโดดเด่นของเครื่องยนต์ดีเซลอยู่ที่การให้แรงบิดสูงในรอบต่ำซึ่งปัจจุบันมักอาศัยเทอร์โบเข้าช่วย แต่เครื่องยนต์เบนซินนั้นก็ลากรอบเครื่องยนต์ได้สูงและให้แรงม้าได้มากกว่าในช่วงรอบการทำงานที่สูง ซึ่งเครื่องยนต์ SKYACTIV-X สามารถให้ได้ทั้งสองอย่างด้วยเทคโนโลยีที่ Mazda เรียกว่า Spark Controlled Compression Ignition (SPCCI) สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน
โดยเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-X ของ Mazda สามารถใช้การบีบอัดให้ส่วนผสมระหว่างเชื้อเพลิงกับอากาศที่บางมาก แต่ยังต้องอาศัยประกายไฟจากหัวเทียนอยู่ ซึ่งส่วนผสม (เชื้อเพลิงและอากาศ) จะมีอุณหภูมิและแรงดันสูงขึ้นจากการบีบอัดจนจุดระเบิดเหมือนเครื่องยนต์ดีเซล จึงทำให้การเผาไหม้รวดเร็วและหมดจดได้ในทันทีกว่าเครื่องยนต์เบนซินปกติ ส่งผลให้
- เครื่องยนต์ SKYACTIV-X ใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพเหนือกว่า SKYACTIV-G ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ และใช้เชื้อเพลิงไม่มากไปกว่า SKYACTIV-D ขนาด 1.5 ลิตร ที่วางใน Mazda 2 ปัจจุบันในการใช้งานจริง (ไม่ใช่แค่การทดสอบในห้องทดลอง)
- เครื่องยนต์ SKYACTIV-X ขนาดความจุ 2.0 ลิตร ให้กำลังมากขึ้น และให้แรงบิดสูงกว่า SKYACTIV-G ขนาดความจุ 2.0 ลิตร ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ (ใน Mazda 3)
- เมื่อจับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เครื่องยนต์ SKYACTIV-X จะให้การตอบสนองทันทีที่เท้าเหยียบคันเร่งเหมือนเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล แต่รอบการทำงานของเครื่องยนต์นั้นจะไม่แตกต่างจากเครื่องยนต์เบนซินหายใจธรรมดาเลย
- เครื่องยนต์ SKYACTIV-X ถูกดีไซน์มาให้ใช้งานได้ทั้งแบบ Stand-alone หรือทำงานประสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า สำหรับรถยนต์ไฮบริด (HEV) หรือปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) ได้ด้วย
All-new Mazda 3 ใหม่ ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยี SKYACTIV-X น่าจะเปิดตัวในปี 2019 แน่นอนแล้ว แต่สำหรับไทยอาจต้องดีเลย์ออกไปอีกหน่อยเป็นเรื่องปกติ
คลิป :
ภาพจาก Mazda