โดยการร่วมทุนครั้งนี้ Toyota จะถือหุ้นใน EV C.A. Spirit Co., เป็นสัดส่วน 90 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ Mazda และ Denso ถือรายละ 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง Toyota เป็นฝ่ายคัดเลือกทีมวิศวกรจากทั้ง 3 บริษัท (ประมาณ 40 อัตรา) มาช่วยกันวิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อสู้กับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ ในตลาดที่ค่อนข้างรุกหนักและส่อแววว่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเห็นได้ชัดจากงานแฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์ โชว์ 2017 ที่เพิ่งจบไป
อย่างไรก็ตามการร่วมมือครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า Toyota และ Mazda จะมีรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่หน้าตาเหมือนกัน แค่ใช้แพลตฟอร์ม (common architecture) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์บางอย่างที่พัฒนาร่วมกันเท่านั้น และรถไฟฟ้า (BEV) ของแต่ละแบรนด์จะมีดีไซน์รวมถึงคาแรคเตอร์ในแนวทางของตนเอง โดยแต่ละบริษัทจะมีอิสระในการตัดสินใจแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิงตามปกติ
ทั้ง Toyota และ Mazda ที่มี Denso รวมอยู่ด้วยนั้นจะเพิ่มรูปแบบรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ให้มีความหลากหลายมากขึ้นและไม่ใช่แค่รถยนต์นั่งขนาดเล็ก แต่จะรวมถึงรถ SUV รถโดยสาร หรือแม้แต่รถบรรทุกขนาดเล็กด้วย
นอกจากนี้ Toyota ยังมีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าเจนเนอเรชั่นใหม่ ที่ใช้แบตเตอรี่แบบโซลิดสเตต (Solid-state) ที่สามารถชาร์จไฟได้เร็วและทำให้รถมีระยะทางวิ่งได้ไกลกว่าแบตเตอรี่แบบเดิมในปัจจุบัน ภายในปี 2020
ส่วน Mazda น่าจะสามารถเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารวมถึงรถยนต์ไฮบริดได้ในปี 2019 ตามแผน เพราะปัจจุบัน Mazda ยังไม่มีรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่ายเลยเนื่องจากติดปัญหาด้านทุนวิจัยและพัฒนาซึ่งต้องใช้เงินมหาศาล โดยรถยนต์ไฟฟ้าของ Mazda จะใช้เทคโนโลยีด้านวิศวกรรมของ Toyota ด้วย
การรวมตัวครั้งนี้ไม่ได้ถูกจำกัดแค่ Toyota, Mazda และ Denso เท่านั้น แต่ทั้งสามบริษัทยังพร้อมที่จะร่วมมือกับผู้ผลิตรถยนต์หรือซัพพลายเออร์หลายอื่น ๆ ในอนาคตได้อีก ก็อย่างว่าในทางธุรกิจย่อมไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวร
ภาพจาก Toyota, Mazda และ Denso