Volvo XC40 ปี 2018 ใหม่ พรีเมียม SUV เล็กที่คิดต่างอย่างเก๋ และมาไทยแน่นอน

          Volvo XC40 ปี 2018 ใหม่ คิดต่าง นอกกรอบและตอบทุกความต้องการของคนเมือง ผลที่ได้คือรถ SUV พรีเมียมขนาดเล็กคันแรกจาก Volvo สุดเก๋ไก๋ เรียบแต่ไม่ง่ายสไตล์สแกนดิเนเวียน Volvo XC40 ปี 2018 พร้อมท้ารบกับ BMW X1, Mercedes-Benz GLA-Class และ Audi Q3 ในราคาเริ่มต้น 35,200 ดอลลาร์ หรือราว 1.17 ล้านบาท ยืนยันเปิดตัวในไทยแน่นอน

          ถึงจะมาช้าไปสักหน่อยแต่ดูเหมือนว่า Volvo ใช้เวลาทำการบ้านมาดีมากสำหรับ Volvo XC40 ปี 2018 ใหม่ รถ Crossover SUV พรีเมียมขนาดเล็กระดับเดียวกับ BMW X1, Mercedes-Benz GLA-Class และ Audi Q3 ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการสำหรับตลาดโลกเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2560 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี

          ​ด้าน วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) นับว่าไวทีเดียวส่งข่าวการเปิดตัวเปิดตัว Volvo XC40 ปี 2018 ใหม่ พร้อมรายละเอียดคร่าว ๆ มาให้ก่อนอีกทั้งยังระบุว่า "จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเมืองไทยแน่นอน"


          Volvo XC40 ปี 2018 มาพร้อมกับการดีไซน์ภายนอกที่ช่วยให้คาแรคเตอร์ของรถ Crossover SUV พรีเมียมขนาดเล็กคันใหม่นี้ดูสตรองแบบ ​"หุ่นยนต์ตัวจิ๋ว" ด้วยท่ายืน (Stance) ที่มั่นคงและพื้นผิวตัวถังที่ทันสมัย เรียบง่ายไม่ซับซ้อนจนเกินไปแต่แฝงความสนุกสนานอย่างเต็มที่




          ทั้งนี้ Volvo พยายามให้ Volvo XC40 ปี 2018 ดูเป็นรถ SUV พันธุ์แท้ด้วยองค์ประกอบอย่างกระจังหน้าขนาดใหญ่ ตัวรถยกสูงรวมถึงแถบพลาสติกกันกระแทกสีดำรอบคัน ทั้งหมดนี้จึงทำให้ Volvo XC40 ปี 2018 ใหม่ สามารถสะท้อนภาพลักษณ์ที่ดูลำลอง สบายตา แต่มีสไตล์เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด


          ส่วนภายในของ Volvo XC40 ปี 2018 ใหม่ จะไม่ใช่แค่พรีเมียม เก๋ไก๋ เรียบง่ายตามสไตล์สแกนดิเนเวียนเท่านั้น แต่ยังได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์คนเมือง ซึ่ง Volvo ต้องเก็บข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายด้วยการสอบถามโดยตรงกับลูกค้าในหลายประเทศเพื่อจะได้รับรู้ถึงความต้องการที่แท้จริง  

          Volvo XC40 ปี 2018 ใหม่ จึงมีช่องเก็บขนาดใหญ่มากมายหลายจุด ทั้งบริเวณแผงประตูที่กว้างและลึกพอสำหรับขวดน้ำขนาด 1 ลิตร ใต้ที่เท้าแขนด้านหน้าเป็นได้ทั้งช่องเก็บของและถังขยะยกออกได้



          แผงหน้าปัดด้านหน้าฝั่งผู้โดยสารออกแบบให้มีตะขอพับเก็บสำหรับแขวนกระเป๋าถือ ใต้จออินโฟเทนเมนต์ทรงตั้งขนาด 9 นิ้ว มีที่ชาร์จโทรศัพท์ไร้สายเอื้อมถึงง่าย นอกจากนี้พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถยังออกแบบให้เป็นสองชั้นมีฝาพับปิดได้ไว้เก็บของส่วนตัวให้พ้นสายตายามต้องใช้รถร่วมกับผู้อื่น


          อีกทั้งตำแหน่งเบาะนั่งของ Volvo XC40 ปี 2018 ใหม่ วางไว้ค่อนข้างสูงเพื่อทัศนวิสัยในการบังคับควบคุมรถที่ชัดเจน เพราะจากการสำรวจความคิดเห็น Volvo พบว่าลูกค้าต้องการตำแหน่งเบาะนั่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนรถ SUV แท้ ๆ และ Volvo ก็จัดให้ตามที่ลูกค้าส่วนใหญ่เรียกร้อง


          ขณะที่ระบบเครื่องเสียงของ Volvo XC40 ปี 2018 เป็นแบบ High Performance ทีมีลำโพง และซับวูฟเฟอร์ (Air Woofer Technology™) ซ่อนไว้ในแผงหน้าปัดด้านหน้าทำให้ไม่ต้องติดตั้งลำโพงไว้ที่แผงประตูด้านหน้า (ช่องเก็บของเลยกว้างและจุขึ้น) ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรุ่นย่อย Momentum และ R-Design (สเปคอเมริกาตอนนี้มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย) แต่ถ้าต้องการเครื่องเสียงระดับไฮเอนด์คราวนี้ Volvo เลือกใช้แบรนด์ Harman Kardon ที่มีลำโพง 13 ตัว และฟีเจอร์ air-ventilated subwoofer (เข้าใจว่าน่าจะเป็นซับวูฟเฟอร์แบบฟรีแอร์) คงเป็นออปชั่นที่ต้องเสียเงินเพิ่มและต้องแลกกับเนื้อที่เก็บสัมภาระบางส่วนที่จะหายไปด้วย

          สำหรับขุมพลังของ Volvo XC40 ปี 2018 ใหม่ ในสหรัฐอเมริกามีให้เลือกเพียงขุมพลังเดียวคือเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ Drive-E (T5) ซึ่ง Drive-E หมายถึง efficient driving ไม่ใช่ Electric ขนาดความจุ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 248 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,800-4,800 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

          ส่วนในยุโรปจะมีเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ (D4) ขนาดความจุ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ให้เลือกด้วย โดยมีกำลังสูง 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และอนาคต Volvo XC40 ปี 2018 ใหม่  ยืนยันจะเพิ่มขุมพลังที่เป็นแบบ Plug-in Hybrid และเวอร์ชั่นที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน (BEV) แน่นอน


          ทั้งนี้ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน (สเปคอเมริกา) มีให้ครบถ้วนตามที่ควรจะต้องมี เช่น ถุงลมนิรภัยรอบคัน, ระบบแจ้งเตือนความดันลมยาง, ไฟหน้าแบบ Adaptive, ระบบอ่านป้ายจราจร (Road Sign Information), ระบบป้องกันการชนด้านหน้า (City Safety), ระบบช่วยรักษาช่องทางจราจร (Lane Keeping Aid) ที่วิ่งไปในทิศทางเดียวกัน และระบบป้องกันออกนอกช่องทางจราจรในลักษณะที่วิ่งสวนเลน (Oncoming Lane Mitigation) โดยระบบหลังจะเริ่มทำงานที่ความเร็ว 60 กม./ชม. เป็นต้นไป ด้วยการแจ้งเตือนผู้ขับขี่หากออกนอกช่องทาง แต่ถ้าผู้ขับขี่ไม่ตอบสนองระบบจะบังคับพวงมาลัยให้กลับเข้าช่องทางอัตโนมัติเช่นเดียวกับ Lane Keeping Aid เป็นต้น