เปรียบเทียบรถยนต์ Toyota Fortuner 2021 VS Nissan Terra 2021 ออปชั่นใครแน่นกว่ากัน !

เปรียบเทียบรถยนต์ Toyota Fortuner 2021 VS Nissan Terra 2021 รถ PPV รุ่นท็อปจาก 2 ค่ายใหญ่ ในพิกัดขุมพลังไม่เกิน 2.5 ลิตร กับราคาที่ต่างกัน 1 แสนนิด ๆ เลือกคันไหนดี ? 

ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยนั้น รถ PPV หรือ รถยนต์ 7 ที่นั่ง ถือเป็นหนึ่งในรถอเนกประสงค์สำหรับครอบครัวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยขนาดตัวถังที่ใหญ่โต กับห้องโดยสารที่รองรับได้ถึง 7 ที่นั่ง แบบจุใจ แถมในรถรุ่นใหม่ ๆ ยังจัดเต็มมาด้วยออปชั่นที่หรูหราและทันสมัยอีกด้วย

อย่างล่าสุดได้มีการเปิดตัวรถในกลุ่ม PPV ไม่ว่าจะเป็น Nissan Terra 2021 จากค่าย Nissan ตามมาด้วย Toyota Fortuner GR Sport 2021 ซึ่งเป็นรุ่นสูงสุดในตระกูล PPV ของ โตโยต้า นอกจากนี้ยังได้มีการอัปเกรดรุ่นย่อยใน Toyota Fortuner 2021 ด้วยการเพิ่มเติมออปชั่นต่าง ๆ ทั้งในเรื่องเทคโนโลยีความปลอดภัย และชุดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากขึ้น  

เอาล่ะ ! สำหรับคนที่กำลังมองหารถครอบครัวคันใหม่ หรือมีความสนใจในรถสไตล์นี้อยู่ บอกได้คำเดียวเลยว่าห้ามพลาด เพราะเราได้จับคู่ PPV ตัวท็อปรุ่นล่าสุด อย่าง Toyota Fortuner 2021 และ Nissan Terra 2021 มาประชันกันแบบหมัดต่อหมัด วัดกันทุกจุดให้เห็นไปเลยว่าแตกต่างกันอย่างไร ตรงไหนบ้าง ในรถขุมพลังไม่เกิน 2.5 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ กับราคาค่าตัวที่ห่างกัน 1 แสนนิด ๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจ 

Toyota Fortuner 2.4 Legender 4WD 2021 ได้รับการออกแบบให้แตกต่างจากรุ่นมาตรฐานอย่างชัดเจน เน้นดีไซน์หรูหราพรีเมียม เส้นสายดูเฉียบคมตามหลักอากาศพลศาสตร์ เพิ่มความโฉบเฉี่ยวด้วยกระจังหน้าที่แตกต่าง เพิ่มความทันสมัยด้วยไฟหน้า LED Dual Projector พร้อมระบบปรับไฟหน้าสูง-ต่ำอัตโนมัติ และระบบไฟ Follow-me-home ไฟส่องกลางวัน LED แบบ Light Guiding ที่มาพร้อมไฟเลี้ยว LED แบบ Sequential 

พร้อมปรับดีไซน์กันชนหลังใหม่ให้สอดรับกับดีไซน์ด้านหน้าอย่างลงตัว ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ และเซ็นเซอร์เปิดฝาท้ายไฟฟ้าแบบ Kick Activated ที่ปัดน้ำฝนหน้าแบบปรับตั้งเวลา ที่ปัดน้ำฝนหลัง กล้องมองรอบคันแบบ 3D View 

Nissan Terra 2.3 VL 4WD 2021 รุ่นปรับโฉมใหม่นี้ ภายนอกได้รับการออกใหม่ทั้งหมด กระจังมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าในรุ่นที่ผ่านมา เติมความหรูหราด้วยเส้นโครเมียมแนวนอนด้านในกระจัง รับกับเส้นสายที่ต่อเนื่องมาจากฝากระโปรง เสริมแผ่นกันกระแทกด้านล่างที่เป็นสีเงิน ชุดโคมไฟหน้าโปรเจกเตอร์ที่ดีไซน์ให้เรียวบางเป็นแบบ Quad LED จำนวน 4 ดวง เพิ่มความสว่างมากขึ้นถึง 34% พร้อมระบบปรับไฟหน้าสูง-ต่ำอัตโนมัติ และระบบไฟ Follow-me-home ไฟส่องกลางวันแบบ LED

ด้านท้ายตัวรถก็ได้รับการปรับใหม่หมดเช่นกัน ตั้งแต่สปอยเลอร์บนหลังคาจนถึงชายกันชนด้านล่าง ฝาท้ายเพิ่มความพรีเมียมด้วยการใช้วัสดุโครเมียมและชิ้นส่วนสีเงินเข้ามาตกแต่ง โดดเด่นด้วยชุดไฟท้าย LED แบบ Light Guide เส้นคู่ ปิดท้ายด้วยขอบล้ออัลลอยสีทูโทนแบบปัดเงาขนาด 18 นิ้ว ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ พร้อมเซ็นเซอร์เปิดฝาท้ายไฟฟ้า กล้องมองรอบคัน

ด้านออปชั่นภายในของรถรุ่นนี้สะท้อนถึงความหรูหราสะดวกสบาย อีกทั้งยังเน้นใช้งานได้อย่างง่ายดาย เริ่มจากเบาะ 7 ที่นั่ง หุ้มหนังและหนังสังเคราะห์ โดยเบาะคู่หน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า เบาะแถว 2 แบ่งส่วน 60:40 พร้อมที่พักแขนแบบพับเก็บได้ ที่วางแก้วน้ำ พร้อมระบบพับและยกขึ้นจังหวะเดียว เบาะแถว 3 แบ่งส่วน 50:50 ปรับเอนและพับเก็บได้ ไฟส่องสว่างสร้างบรรยากาศห้องโดยสาร พร้อมช่องเก็บของมากมาย 

มาตรวัดเรืองแสงพร้อมจอ TFT ดีไซน์เฉพาะ รุ่น Legender พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนแบบอัตโนมัติ ระบบปรับแอร์แบบอัตโนมัติ สามารถปรับอิสระแยกซ้าย-ขวาที่ด้านหน้า และช่องลมแอร์แถว 2 แถว 3, ช่องเก็บของด้านบนแบบ Cool Box, จอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Bluetooth/USB รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay มาพร้อมกับลำโพง 6 ตำแหน่ง, กุญแจแบบ Smart Key ดีไซน์เฉพาะรุ่น Legender, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control, เบรกมือแบบก้าน นอกจากนั้นยังเสริมความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วยอุปกรณ์เชื่อมต่อ USB แบบ Type C 2 ตำแหน่ง ที่เบาะแถว 2 

สำหรับภายในของรถรุ่นนี้ มาพร้อมกับการปรับปรุงใหม่ พร้อมออปชั่นเด่น ๆ มากมาย เริ่มจากเบาะนั่งหน้าฝั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบดันหลัง และเบาะฝั่งผู้โดยสารปรับไฟฟ้า 4 ตำแหน่ง เบาะแถว 2 แยกแบบ 40:60 และเบาะแถว 3 แยกแบบ 50:50 รวมถึงเบาะนั่งแถว 2 มาพร้อมกับฟังก์ชัน Auto Tumble Seat สามารถพับอัตโนมัติด้วยการกดปุ่ม 1-touch remote fold & tumble ที่ติดตั้งอยู่บริเวณคอนโซลกลาง เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเข้า-ออกแถว 3

นอกจากนั้นยังติดตั้งระบบชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless Charger รวมถึงช่องชาร์จไฟ USB (ประเภท A และ C) ถึง 5 จุด บริเวณคอนโซลหน้า คอนโซลกลาง และแถว 3 อีกทั้งผู้โดยสารในแถว 2 และ 3 ยังสามารถรับชมความบันเทิงผ่านหน้าจอขนาด 11 นิ้ว ที่เชื่อมต่อผ่านช่อง HDMI หรือ Smart TV stick 

ด้านชุดอุปกรณ์มาตรฐาน มาพร้อมมาตรวัดเรืองแสงและจอ TFT อัจฉริยะ แสดงข้อมูลการขับขี่แบบ 3 มิติ ขนาด 7 นิ้ว รองรับการแสดงผล Off-Road Meter จออินโฟเทนเมนต์แบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว พร้อม Nissan Connect เชื่อมต่อสมาร์ตโฟน Wireless Apple CarPlay กับ Android Auto และบลูทูธระบบเครื่องเสียงจาก BOSE พร้อม Amplifier และลำโพงติดตั้ง 8 ตำแหน่ง รอบคัน ระบบปรับแอร์แบบอัตโนมัติ สามารถปรับอิสระแยกซ้าย-ขวาที่ด้านหน้า และมีช่องแอร์ด้านหลัง ไฟส่องภายในห้องโดยสารแบบ LED ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control และระบบเบรกมือไฟฟ้า เป็นต้น

Nissan Terra 2.3 VL 4WD 2021 ยังเพิ่มความพิเศษด้วยการติดตั้งฉนวนลดเสียงรบกวนทุกจุดสําคัญของโครงสร้างรถ อีกทั้งที่กระจกตอนหน้าและประตูคู่หน้าเป็นแบบ Acoustic Glass เพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก

ด้านขุมพลังของ Toyota Fortuner จะมากับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว DOHC VN Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์ ความจุ 2.4 ลิตร รหัส 2GD-FTV (High) แรงสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift ระบบขับเคลื่อนเลือกได้ทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ

ด้านพละกำลังของ Nissan Terra ยังคงมากับขุมพลังบล็อกเดิม เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว DOHC ความจุ 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่ อินเตอร์คูลเลอร์ รหัส YS23DDTT แรงสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบ 7 สปีด ระบบขับเคลื่อนเลือกได้ทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ โดยเมื่อเลือกโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ กล้องอัจฉริยะรอบด้านจะแสดงพื้นที่โดยรอบเพื่อรองรับการขับขี่บนเส้นทางที่ยากลำบาก

ด้านระบบเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยของ Toyota Fortuner จะมากับ Toyota Safety Sense มีทั้งอุปกรณ์มาตรฐานอย่างไฟตัดหมอกหน้า-หลัง, ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง, ระบบป้องกันล้อล็อก ABS, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TSC, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบเสริมแรงเบรก BA รวมถึงเซ็นเซอร์กะระยะจอดรถด้านหลัง 4 ตำแหน่ง และยังมาพร้อมกับระบบควบคุมการทรงตัว, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี A-TRC, ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน, ระบบควบคุมเฟืองท้าย และล่าสุดเพิ่มระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA, ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM ที่ให้ความมั่นใจและยกระดับความปลอดภัยในการขับขี่ขั้นสูงสุด 

สำหรับระบบความปลอดภัยของ Nissan Terra รุ่นปรับโฉมใหม่นี้ ได้ติดตั้งระบบเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยของ Nissan Terra 2021 มาพร้อมระบบนิสสัน 360° เซฟตี้ ชิลด์ (360 degree Safety Shield  Technology) ประกอบไปด้วย ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ IEB, เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง IAVM, ระบบเตือนรถในมุมอับสายตา BSW, ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง LDW, ระบบตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย RCTA, ระบบเทคโนโลยีเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ IFCW, ระบบเทคโนโลยีเตือนผู้ขับขี่เมื่อรู้สึกถึงการขาดสมาธิหรือเหนื่อยล้า IDA และระบบกระจกมองหลังอัจฉริยะ Intelligent Rear View Mirror

• Nissan Terra 2021 รุ่น 2.3 E 2WD   7AT  ราคา 1,199,000 บาท

• Nissan Terra 2021 รุ่น 2.3 VL 2WD 7AT  ราคา 1,449,000 บาท

• Nissan Terra 2021 รุ่น 2.3 VL 4WD 7AT  ราคา 1,499,000 บาท

Toyota Fortuner 2.4 Legender จะมีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่

• Toyota Fortuner 2.4 Legender ราคา 1,566,000 บาท

• Toyota Fortuner 2.4 Legender 4WD 2021 ราคา 1,636,000 บาท

หลังจากที่ได้นำรถทั้ง 2 รุ่นมาเทียบกัน แทบจะเรียกได้ว่ามีความโดดเด่นเฉพาะตัวที่ต่างกันไป เริ่มจากความสวยงามของรูปลักษณ์ภายนอกซึ่งเป็นอะไรที่วัดกันยากที่สุด เพราะขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล Toyota Fortuner ยังคงมาในสไตล์ที่ดูสปอร์ต ส่วนของ Nissan Terra ถูกปรับโฉมใหม่จากรุ่นที่ผ่านมา ด้วยการปรับเปลี่ยนหน้าตา เสริมบุคลิกให้ดูหรูหรามากขึ้น ขณะที่ล้ออัลลอยทาง Toyota Fortuner จะมีขนาดที่ใหญ่กว่า โดยมีขนาดถึง 20 นิ้ว ส่วนของ Nissan Terra จะมีขนาดอยู่ที่ 18 นิ้ว เท่านั้น 

ด้านชุดอุปกรณ์ภายในห้องโดยสาร ออปชั่นต่าง ๆ ที่ให้มานั้นใกล้เคียงกันมาก ไม่ว่าจะเป็นในส่วนหน้าจออินโฟเทนเมนต์แบบสัมผัสที่มีขนาด 9 นิ้ว เท่ากัน ส่วนที่แตกต่างกันจะเป็นทาง Nissan Terra จะได้รับการติดตั้งฟังก์ชัน Auto Tumble Seat ที่สามารถพับเบาะแถว 2 ได้แบบอัตโนมัติ ด้วยการกดปุ่ม 1-touch remote fold & tumble ที่ติดตั้งอยู่บริเวณคอนโซลกลาง เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเข้า-ออกแถว 3 และยังติดตั้งฉนวนลดเสียงรบกวนทุกจุดสําคัญของโครงสร้างรถ และกระจกตอนหน้าและประตูคู่หน้าเป็นแบบ Acoustic Glass เพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก รวมถึง Nissan Terra มีจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ 11 นิ้ว เพิ่มความบันเทิงให้กับผู้โดยสารในแถว 2 และ 3

สำหรับในชุดระบบเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยของทั้ง 2 รุ่นนั้น ติดตั้งระบบความปลอดภัยที่เป็นชุดเต็มของทั้ง 2 แบรนด์ โดยของ Toyota มากับเทคโนโลยี Toyota Safety Sense ที่ได้รับการติดตั้งระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA และระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM เพิ่มเติมขึ้นมาจากรุ่นที่ผ่านมา ส่วนของ Nissan มาพร้อมระบบนิสสัน 360° เซฟตี้ ชิลด์ (360 degree Safety Shield  Technology) ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง IAVM และระบบเทคโนโลยีเตือนผู้ขับขี่เมื่อรู้สึกถึงการขาดสมาธิหรือเหนื่อยล้า IDA ซึ่งถ้าเทียบกันในจุดนี้แล้วทาง Nissan Terra จะได้เปรียบในเรื่องระบบเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยที่มีมาให้มากกว่า

ในด้านขุมพลังแม้ว่า Nissan Terra จะมีเครื่องยนต์ขนาดเล็กกว่า แต่ด้วยขุมพลังเทอร์โบคู่ที่มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด จึงทำให้มีกำลังแรงม้าและแรงบิดที่สูงกว่า Toyota  Fortuner ขณะที่ตัวถังมีขนาดใหญ่กว่าทั้งความยาวและความกว้าง รวมถึงความยาวฐานล้อ 

จะเห็นได้ว่าโดยรวมทั้งหมดของรถ 2 รุ่น เป็นรถที่มีขุมพลังในพิกัดไม่เกิน 2.5 ลิตร และเป็นรถแบบขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยกันทั้งคู่ โดยราคาค่าตัวต่างกันที่ 1 แสนกว่าบาท ซึ่งภาพรวมต่าง ๆ ของ Nissan Terra 2.3 VL 4WD 7AT 2021 ไม่ว่าจะเป็นชุดอุปกรณ์ ออปชั่น และสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสาร ก็จะมีมากกว่า Toyota Fortuner 2.4 Legender 4WD ที่ได้เปรียบในเรื่องชื่อแบรนด์และความนิยม รวมถึงในเรื่องการขายต่อ 

อย่างไรก็ตาม สำหรับการเปรียบเทียบรถยนต์ในครั้งนี้เป็นเพียงการยกสเปก อุปกรณ์เด่น ๆ ของรถทั้ง 2 รุ่นมาเทียบให้เห็นกันแบบชัด ๆ เท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่า “จะเลือกคันไหนดี” คงต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคน โดยควรไปทดลองขับคันจริงก่อนซื้อ แล้วคุณจะรู้ว่ารถคันไหนที่ตามหาอยู่กันแน่ หรืออาจไม่ใช่ทั้งคู่ก็เป็นได้ 

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : toyota.co.th, nissan.co.th