รถยนต์ไร้คนขับ (Self-Driving Cars) ในอนาคตอาจนั่งได้สบาย ไม่หัวสั่นหัวคลอน แถมมั่นคงในความเร็วสูง ราวกับรถหรูราคาแพง ด้วยระบบกันสะเทือนแบบแอ็คทีฟ ซึ่ง ClearMotion หนึ่งในผู้พัฒนาระบบดังกล่าว คาดหวังอยากให้เป็นอย่างนั้น
ซึ่งทำให้ระบบกันสะเทือนแบบไม่แอ็คทีฟกลายเป็นแบบแอ็คทีฟได้ ทั้งนี้ ClearMotion ไม่ได้พัฒนาทุกอย่างจากศูนย์ แต่นำเอาเทคโนโลยีอิเล็กโตรแม็กเนติกของ Bose มาต่อยอด ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2017 (หรือพูดง่าย ๆ ว่าซื้อเทคโนโลยีที่ Bose คิดมานั่นแหละ) เพื่อช่วยให้ตัวรถเคลื่อนที่ได้อย่างราบเรียบแทบจะตลอดเวลา แม้วิ่งผ่านลูกระนาด ซึ่งจะเกิดจากการกระแทก (Bump) หรือการถูกกระชาก (Hole) จากหลุมบ่อของระบบกันสะเทือน
รวมถึงเข้าแก้อาการโคลงตัวยามเข้าโค้ง (Roll) และหน้าทิ่ม ท้ายยก (Pitch) จากการเร่งหรือเบรก เพราะระบบแอ็คทีฟจะปรับระดับความแข็ง-อ่อนอย่างรวดเร็วมากตลอดเวลา เพื่อฝืนกฎฟิสิกส์ให้ตัวรถนิ่งมากที่สุด กล่าวคือ วิ่งผ่านทางไม่ราบเรียบก็นุ่ม วิ่งเข้าโค้ง หรือเปลี่ยนเลนกะทันหันด้วยความเร็วก็ไม่ยวบยาบจนเสียการควบคุม แบบที่ระบบกันสะเทือนปกติทั่วไป (ไม่แอ็คทีฟ) ทำได้ดีไม่เท่า
แต่การที่ระบบกันสะเทือนแบบแอ็คทีฟของ ClearMotion ไม่ได้เป็นระบบไฮดรอลิกทั้งระบบแบบ Hydractive ของ Citroen ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปลายยุค 80 (นับตั้งแต่เริ่มมีการนำเอาวงจรอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาควบคุมระบบ ก่อนหน้านั้นเป็นแบบกลไกล้วน เรียก Hydroneupmatic) หรือระบบกันสะเทือนแบบแอ็คทีฟในรถหรูราคาแพงจัดยุคปัจจุบัน ที่ใช้สปริงลม (บ้างก็เรียกช่วงล่างถุงลม) เช่น Three-Chamber Air Suspension ปรับระดับได้ด้วยไฟฟ้า ซึ่งของ ClearMotion ดูเหมือนจะซับซ้อนน้อยกว่ามากและต้นทุนอาจต่ำกว่าด้วย
แน่นอนว่าการที่ ClearMotion ซื้อเทคโนโลยีระบบกันสะเทือนแบบแอ็คทีฟจาก Bose มาพัฒนาต่อยอด ก็คงไม่ได้เอามาแจกให้ผู้ผลิตรถนำไปใช้กันฟรี ๆ ซึ่ง ClearMotion อาจคาดหวังไว้แล้วว่าระบบดังกล่าวจะแพร่หลายในอนาคต ยุคที่รถยนต์ไร้คนขับเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ส่วนประสิทธิภาพจะดีแค่ไหน สู้ระบบกันสะเทือนอันซับซ้อนของผู้ผลิตรถยนต์ที่พัฒนาขึ้นมาเองได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง