เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2558 มีการรายงานของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมหรือ EPA (Environmental Protection Agency) ของสหรัฐฯ ได้พบว่า Volkswagen ได้ทำการพัฒนาซอฟท์แวร์และติดตั้งในรถยนต์เพื่อบิดเบือนค่ามลพิษจากทดสอบของ EPA โดยซอฟท์แวร์จะอยู่ในโมดูลควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Control Module หรือ EDM) คอยตรวจจับลักษณะการขับขี่ตามเงื่อนไขที่ถูกโปรแกรมไว้ว่านี่คือ"การทดสอบ" ตามมาตรฐานของ EPA กล่องควบคุมก็จะสั่งการให้รถอยู่ในโหมดที่ปล่อยมลพิษน้อยกว่าความเป็นจริงและจะปิดโหมดดังกล่าวเองเมื่อถูกใช้งานตามปกติ
ทางด้านนาง Cynthia Giles ผู้ช่วยฝ่ายบริหารของ EPA ได้ออกมาแสดงความผิดหวังกับกรณีสุดอื้อฉาวที่เกิดขึ้นครั้งนี้ว่า "นี่เป็นเรื่องสำคัญและไม่ควรเกิดขึ้น เพราะนอกจากการดัดแปลงอุปกรณ์เพื่อให้ผ่านมาตรฐานการทดสอบมลพิษนั้นผิดกฎหมาย ซึ่งทาง Volkswagen น่าจะทำมาหลายครั้งแล้ว และการบิดเบือนค่ามลพิษที่แท้จริงนั้นไม่เพียงแต่เป็นการโกงการทดสอบของ EPA เท่านั้นการกระทำดังกล่าวยังถือว่าเป็นการหลอกลวงหน่วยงานรัฐแคลิฟอร์เนียรวมถึงผู้บริโภคอีกด้วย และเราไม่คิดมาก่อนว่า Volkswagen จะใช้วิธีนี้"
แน่ใจหรือว่ารถของ Volkswagen จำนวน 482,000 คัน ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร เป็นรถ "พลังงานสะอาด" คือคำถามที่ทาง EPA ตั้งใจกระทบกระเทียบ Volkswagen เมื่อผลทดสอบที่แท้จริงปรากฎออกมาให้ชาวโลกรับรู้ว่ามันสูงกว่าค่าสูงสุดตามมาตรฐานที่กฎหมายได้กำหนดไว้ 10-40 เท่าตัว ขึ้นอยู่กับลักษณะการทดสอบและการขับขี่
ผลจากการกระทำอันอื้อฉาวของ Volkswagen อาจทำให้ต้องเสียค่าปรับสูงถึง 37,500 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อรถที่จำหน่าย 1 คันซึ่งทาง Volkswagen คงต้องจ่ายเงินมหาศาลจำนวน 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หากคิดจากจำนวนที่ทาง EPA ตรวจพบ ซึ่งขณะนี้การสืบสวนยังไม่เสร็จสิ้น และทาง Volkswagen สหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบในเบื้องต้นโดยการหยุดจำหน่ายรถยนต์ รุ่นปี 2015 ทุกคันที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลตัวปัญหาไว้ก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปกว่านี้
วันที่ 22 กันยายน 2558 ได้มีรายงานเพิ่มเติมว่าเหตุการณ์ดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อหุ้นของ Volkswagen ที่ดิ่งลงถึง 23% ภายในวันเดียว นับเป็นเงินมูลค่า 15.6 พันล้านยูโร โดยราคาหุ้นลดลงต่ำสุดอยู่ที่ 125.40 ยูโรต่อหุ้น ก่อนจะค่อยดีดตัวสูงขึ้นก่อนปิดตลาดที่ 132.2 ยูโรถือว่าตกต่ำที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา
สถานการณ์ที่เลวร้ายจากการกระทำที่ผิดพลาดของ Volkswagen ดูเหมือนจะยังไม่จบลงง่าย ๆ เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกฟ้องร้องจากกลุ่มผู้อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและผู้ถือหุ้นที่ทำให้พวกเขาได้รับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและเสียผลประโยชน์ รวมไปถึงลูกค้าในสหรัฐฯ ที่แสดงความต้องการขอคืนรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ตัวปัญหาเพื่อเรียกร้องในสิ่งที่ทำให้รู้สึกเหมือนโดนหักหลังจนทำให้กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ต้องเข้ามาร่วมดำเนินการสอบสวนหลังจากที่ EPA ได้พบว่ามีการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อตบตาค่ามลพิษที่แท้จริงในการทดสอบและ EPA ต้องขยายผลการตรวจสอบไปยังผู้ผลิตรายอื่นๆ เพื่อป้องกันเหตุที่อาจจะลุกลามไปมากกว่านี้
ล่าสุดวันที่ 23 สิงหาคม 2558 Volkswagen ก็ได้ออกมาเผยว่าจริง ๆ แล้วมีรถจำนวนถึง 11 ล้านคันทั่วโลกที่ติดตั้งอุปกรณ์ปรับค่ามลพิษ แต่เครื่องยนต์ดีเซลที่ติดตั้งในรถสำหรับจำหน่ายในสหภาพยุโรป ซึ่งผ่านมาตรฐานมลพิษ ยูโร 6 ไม่ได้ใช้อุปกรณ์ดังกล่าว
ส่วนทางด้านนาย Martin Winterkorn ประธานบริหารได้ออกมาแถลงก่อนหน้านี้ว่า "ตนเองขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ที่ทำให้ความไว้วางใจและน่าเชื่อถือจากผู้บริโภคและสาธารณะชนที่มีต่อ Volkswagen หมดสิ้นลง" รวมถึงยังได้ยืนยันที่จะให้ความร่วมมือในการสืบสวนโดยหน่วยงานภายนอกทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อแก้ไขสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้น ก่อนจะแสดงความรับผิดชอบในฐานะผู้บริหารด้วยการลาออกจากตำแหน่งประธานบริหาร หรือ CEO ของ Volkswagen เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จนถึงตอนนี้ Volkswagen อาจจะต้องใช้เงินมากกว่า 6.5 พันล้านยูโร เพื่อแก้ไขสิ่งผิดพลาดทั้งหมดและเรียกศรัทธาจากมหาชนทั่วโลก และในขณะที่ยังมีการสืบสวนเพื่อขยายผล จำนวนรถทั้งหมดกว่า 11 ล้านคันก็อาจไม่ใช่ตัวเลขสุดท้ายและ Volkswagen ได้ยืนยันว่าซอฟท์แวร์ดับอนาคตของ Volkswagen ไม่มีผลร้ายต่อการใช้งานปกติกับรถยนต์แต่อย่างใด
ไม่คาดคิดมาก่อนว่าซอฟท์แวร์ที่ติดตั้งลงในอุปกรณ์เล็ก ๆ โดยฝีมือมนุษย์จะสร้างความเสียหายให้กับ Volkswagen และโลกได้มากขนาดนี้ จริงอยู่ว่ามีรถยนต์อีกจำนวนมากมายหล่ายเท่าที่ปล่อยมลพิษมากกว่ารถจาก Volkswagen โดยที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่กับการ "หลอกลวงผู้บริโภค" ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ภาพจาก vw
