x close

BMW 320d Sport Line สปอร์ตสุดเท่ในเครื่องดีเซล

BMW 320d Sport Line

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Mac5738 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          BMW รถยนต์แบรนด์หรูที่มาพร้อมความสปอร์ตจากค่ายยุโรปที่มีความโดดเด่นด้านสมรรถนะทั้งจากพละกำลังเครื่องยนต์ รูปลักษณ์การดีไซน์ที่เต็มไปด้วยความหรูหราอีกทั้ง ฟังก์ชั่นที่ครบครันให้ความสะดวกสบายแก่ผู้ขับขี่ โดยวันนี้กระปุกคาร์ได้บทความการรีวิว BMW 320d Sport Line (F30) จากคุณ Mac5738 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ว่ารุ่นนี้เด็ดดวงสักแค่ไหนเราตามมาดูกันเลยครับ

          สวัสดีครับทุกท่าน

          ต้องขอออกตัวก่อนว่า รถคันนี้เป็นรถของพ่อผมนะครับ โดยตั้งใจซื้อมาให้แม่กับผมขับนั่นแหละ แต่สุดท้ายแล้วกลายเป็นว่า แม่ผมก็ไม่ค่อยกล้าขับเท่าไหร่ เพราะกังวลเรื่องการใช้งานของ iDrive และ Feature อื่น ๆ ของตัวรถ (ทั้งๆที่ท่านก็เคยขับ E36 มาก่อน และชอบ BMW มาก ๆ ด้วย) ส่วนตัวเจ้าของรถเอง ก็ไม่ค่อยจะขับ เพราะช่วงนี้มีอาการปวดขา ปวดหลัง เวลาลุกเข้าออกรถจะลำบากเล็กน้อย เพราะตำแหน่งเบาะค่อนข้างจะเตี้ยพอสมควร เลยบอกว่า ขับ RX350 เหมือนเดิมนั่งสบายกว่า (แต่ก็ชมไม่หยุดนะว่า F30 ขับดีมากตอนได้รถมาใหม่ ๆ ) สุดท้ายแล้ว ผมก็ขับอยู่คนเดียว เค้าล้อเล่น

          ก่อนอื่นเลย ขออวดโฉมรถเสียก่อนนะครับ (รถอาจจะสกปรกนิดหน่อยนะครับ)

BMW 320d Sport Line (F30)

BMW 320d Sport Line (F30)

          (ใครไม่ชอบ Daylight สามารถปิดได้ที่ iDrive นะครับ)

BMW 320d Sport Line (F30)

          เวลาเลี้ยวเข้าออกซอย หรือเปลี่ยนเลนตอนรถติด ๆ สามารถทำได้อย่างง่ายดายเพราะตำแหน่งของล้อหน้าอยู่ใกล้กับกันชนมากครับ

BMW 320d Sport Line (F30)

BMW 320d Sport Line (F30)

          ที่ใต้กันชนตรงบริเวณช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆจะมี Sensor เปิดท้ายรถด้วยเท้าครับ เวลาเปิดต้องระวังนิดนึง เพราะพอเตะแล้ว Sensor ทำงาน ฝาท้ายรถจะดีดขึ้นมาทันทีครับ (เวลาเตะ ให้เตะลมผ่าน ๆ ก็พอนะครับ ไม่ต้องเตะให้โดนกันชน)

BMW 320d Sport Line (F30)

          เวลาจะปลดล็อกประตูให้สอยนิ้วเข้าไปที่เปิดประตูได้เลยนะครับ ตัวประตูจะถูกปลดล็อกภายในเวลา 1 วินาที

          ส่วนเวลาจะล็อกให้เอานิ้วแตะที่ขีด 5 ขีดแล้วประตูจะล็อกเองครับ และถ้าแตะที่ขีด 5 ขีดค้างไว้สักพัก กระจกข้างจะพับเองครับ

Sport Line

          ในแบบ Sport Line จะมีสีแดงสีเดียวที่ไม่ที่สามารถเลือกเบาะสีแดงได้ครับ

Sport Line

Sport Line

          นอกจากปุ่มปรับความสูงต่ำ และองศาในการเอนของเบาะแล้ว ยังมีปุ่มซ้ายสุดซึ่งจะเป็นปุ่มปรับระดับการโอบตัวของเบาะครับ Memory Seat (และกระจกข้าง) สามารถ Set ได้ถึง 6 แบบ ถ้าหาก Set iDrive ไว้ครบ 3 profile

Leg Room

          ในส่วนของ Leg Room ฝั่งคนขับนั้น จะมี Switch เปิดฝากระโปรงหน้าหลัง (โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า Switch เปิดท้ายเนี้ยหายากนิดนึงนะครับ) ส่วนช่อง OBD นั้นจะเป็นช่องที่ใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ของศูนย์ครับ และใต้คันเร่งนั้น จะมี Switch เป็นแป้นบางๆ ซึ่งผมคิดว่านี้น่าจะเป็น Switch สำหรับ Kickdown

          อารมณ์ประมาณว่าถ้ากระทืบคันเร่งไปโดน Switch นี้ตอนอยู่ใน Comfort หรือ Eco Pro mode เมื่อไหร่ เครื่องยนต์จะทำงานเต็มกำลังทันทีครับ

Console

          Console ของรถจะตกแต่งด้วยหนัง และพลาสติกสีดำเคลือบเงาเป็นเสียส่วนใหญ่ ส่วนสีเงินที่แป้นฐานคันเกียร์ พวงมาลัย และเส้นสีแดงตรง ๆ ที่คาดผ่าน Console นั้นจะเป็น Aluminium ครับ

          ถ้าเทียบความกว้างของภายในระหว่าง C class โฉมปัจจุบันกับ F30 ละก็ ถึงแม้ว่ามิติรถของ 3 Series โฉมนี้จะใหญ่กว่าก็จริง แต่ภายในก็ยังรู้สึกกว้างน้อยกว่า C class อยู่ดี แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่ทำให้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด

          (ถ้าใครสนใจ C class และไม่รีบร้อน กรุณารอโฉมต่อไปที่กำลังจะออกในเวลาอันใกล้นี้ เพราะรถมิติจะใหญ่ขึ้น และอาจจะใหญ่กว่า F30 เสียเล็กน้อยครับ)

 พวงมาลัยไฟฟ้า

          พวงมาลัยไฟฟ้าของ F30 นั้นผ่อนแรงได้ดี และแม่นยำพอสมควรครับ ตอนแรก ๆ ที่ผมสัมผัส ผมค่อนข้างจะรู้สึกขัดใจเล็กน้อย เพราะน้ำหนักของพวงมาลัยนั้นเบากว่าที่ผมคาดเอาไว้ ต้องใช้เวลาขับไปสักพักหนึ่งถึงจะชิน

          ด้วยความที่ผมขับ Mazda 3 (ปี 2007) แล้วชอบขับมือเดียวเป็นส่วนใหญ่มาตลอด เวลาขับเข้าออกซอยก็มือเดียว U-turn ใต้สะพานก็มือเดียว แล้วเวลาเลี้ยว ผมหมุนพวงมาลัยไม่เกิน 1 รอบครับ

          พอมาขับคันนี้ต้องเปลี่ยนนิสัยการจับ และหมุนพวงมาลัยพอสมควร ซึ่งนอกจากน้ำหนักของพวงมาลัยที่เบากว่าแล้ว การที่รถส่งกำลังมาจากล้อหลัง ความกว้างของพวงมาลัย และฐานล้อที่ข้างค่อนจะยาว จึงส่งผลให้ผมต้องหมุนพวงมาลัยเพิ่มมากกว่าปกติ

          เคยมีอยู่คราวหนึ่ง ตอนผมพึ่งขับเจ้าคันนี้ได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ตอนนั้นขับอยู่บนสะพานยกระดับพระราม9 (ฝั่งมุ่งหน้าไปศรีนครินทร์) แล้วถนนโล่งพอดี ปกติผมจะอยู่เลนซ้ายรอไว้เป็นกิโลเพื่อที่จะเตรียมเลี้ยวรถเข้าหัวหมาก แต่ด้วยความที่เจอ Honda Civic คันหนึ่งขับช้าผิดปกติ และมีมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างหน้าเขาด้วย ผมจึงเข้า Sport mode แล้วเลี้ยวเข้าทางลงหัวหมากจากเลน 2 เลย

          พอหักรถเข้าโค้งกะทันหัน ผมก็หักพวงมาลัยในระดับเดียวกับตอนที่ขับ Mazda นั่นแหละ กลายเป็นว่าเกือบไม่พ้นโค้ง (ปกติชอบเลี้ยวชิดกำแพงฝั่งขวา เพราะจะขึ้นทางพิเศษ) กลายเป็นว่าต้องหักพวงมาลัยเพิ่มอีกเล็กน้อย (เพื่อนที่นั่งมาด้วยยังบอกเลยว่าตอนแรกนึกว่าจะหักไม่พ้นซะแล้ว)

          ใครที่เปลี่ยนจากรถ Compact car ญี่ปุ่นมาเป็น Premium compact ยุโรปต้องระวังนิดนึงนะครับ แต่โดยรวมแล้ว พวงมาลัยของ F30 คันนี้เป็นมิตรกับคนขับมากครับ ซึ่งรวมถึงสุภาพสตรีด้วย

3 Series Gen

          คันเกียร์ของ 3 Series Gen นี้จะเป็นคันเกียร์แบบไฟฟ้าที่อาจจะเจอได้ใน Lexus CT200h และ Toyota Prius เป็นต้น แต่คันเกียร์ของ BMW ออกแบบมาได้เหมาะสมกับการใช้งานมากกว่า

          ถ้าเป็น CT200h หรือ Prius ละก็ เวลาเข้าเกียร์จะต้องโยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่งที่เราต้องการค้างไว้สักพักจนกว่าเกียร์จะเปลี่ยน แต่กับของ BMW นั้น ตัวคันเกียร์จะมีจังหวะสัมผัสซึ่งสามารถทำให้เรารับรู้ได้ทันทีว่า "เกียร์เปลี่ยนแล้วนะ"

          โดยตัวเกียร์จะโยกขึ้นได้ 2 จังหวะ และลง 2 จังหวะการใช้งานจะประมาณนี้ครับ

          เวลาจะเปลี่ยนจาก P (หรือ N) ไป D หรือ R ให้กดปุ่ม Unlock และโยกไปที่เกียร์ที่ต้องการ 1 จังหวะพอ แต่ถ้าจะเปลี่ยนจาก D ไป R (หรือ R ไป D) ให้กดปุ่ม Unlock แล้วโยกเกียร์ไปจนสุดเลย (จะมีจังหวะให้รู้สึก 2 จังหวะ) ส่วนเวลาจะเข้า P แค่กดปุ่มที่ปลายคันเกียร์ครับ

          โดยทุกครั้งที่เปลี่ยนเกียร์ จะต้องเหยียบเบรกไว้ทุกครั้งนะครับ ไม่งั้นที่ iDrive จะเตือน และไม่ยอมเปลี่ยนเกียร์ให้ (ซึ่งน่ารำคาญ) ส่วนเวลาจะเปลี่ยน D ไป N (หรือ N ไป D) ไม่จำเป็นต้องกดปุ่ม Unlock นะครับ แค่ผลักคันเกียร์ไปเลยก็พอ (แต่ยังไงก็ต้องเหยียบเบรกไว้นะ)

          ส่วนในตอนที่ขับใน D อยู่ ถ้าผลักคันเกียร์ไปทางด้านซ้าย เกียร์จะเข้าสู่ DS ทันที โดยเกียร์ Mode นี้จะเปลี่ยนให้เกียร์มีนิสัยการเปลี่ยนเกียร์แบบรถ Sport ครับ (ชอบลากรอบ ให้ใช้ Mode นี้)

          แต่ถ้าอยากเปลี่ยนเกียร์เอง ให้ผลักเกียร์ขึ้น หรือลง ก็จะเข้าสู่ Manual mode เอง โดยที่ Dashboard จะแสดงเป็น M1 จนถึง M8 เพราะระบบส่งกำลัง (Transmission) ของรถคันนี้เป็นเกียร์แบบ Dual Clutch แบบ 8 speed นั่นเอง (ถ้าขึ้นเขาลงเขาทีนี้ สับกันแขนเมื่อยเลยเค้าล้อเล่น )

3 Series Gen

          ทางด้านซ้ายล่างของคันเกียร์ก็จะเป็นปุ่มควบคุมของ iDrive ซึ่งเป็น Operating System ควบคุม Feature ต่าง ๆ ของรถทุกรุ่นใน BMW ที่วางจำหน่ายในปัจจุบัน และถัดมาจากด้านล่างของคันเกียร์ก็จะเป็น Hand Brake (หรือ Emergency Brake) ซึ่งจะต้องใช้มือดึงอยู่ ผิดกับรถยุโรปหลาย ๆ รุ่นเลยที่ใช้ Hand Brake เป็น Switch ไฟฟ้ากันเสียส่วนใหญ่

          ให้อารมณ์อนุรักษนิยมพอสมควรเลยครับ แต่โดยส่วนตัว ผมคิดว่าตำแหน่ง และความยาวของก้าน Brake มันไม่ค่อยเหมาะกับการใช้งานบ่อย ๆ เสียเท่าไหร่ (โดยเฉพาะกับคนที่อยากซน จะเอาไป Drift)

iDrive

          หน้าตา Menu หลักของ iDrive ครับ ต้องขออนุญาตไม่พูดถึงส่วนนี้นะครับ เพราะพวก Feature ต่างๆ รถสมัยใหม่ส่วนใหญ่จะมีกันหมดแล้ว แต่เดี๋ยวผมจะไปเจาะลึกในส่วนของ Driving mode เป็นหลักแทนแล้วกันนะครับ

          หน้าจอมีขนาด 8 นิ้ว ขนาดกำลังพอเหมาะ แต่ผมแอบขัดใจตอนลองใช้ Navigation เสียเล็กน้อย เพราะ interface ไม่ค่อยเข้ากับจอเสียเท่าไหร่ (ผมกลับชอบ Navigator ของ Garmin เสียมากกว่า เรื่องมากจริงๆเลยเรา ร้องไห้ )

Driving mode

          คราวนี้ถึงเวลาพูดถึงพระเอกของงานละครับ ซึ่งนั่นคือ ระบบ Driving mode ของ BMW 3 Series คันนี้นั่นเอง

          โดยตัวปุ่มจะอยู่ที่บริเวณด้านขวาของคันเกียร์ ซึ่งนอกจากนี้ยังมีปุ่มระบบ Parking Assist (sensor ช่วยจอด) และปุ่มปิดการทำงานของ Dynamic Stability Control และ Dynamic Traction Control ซึ่งถ้ากดเฉย ๆ จะปิดแค่ DSC แต่ถ้าจะปิด DTC ด้วย มันมีวิธีของมันอยู่ แต่ผมจำไม่ได้ต้องขออภัยด้วยครับ (ในขณะที่เขียนรีวิว คู่มือไม่ได้อยู่กับตัวครับ)

          ตอนเวลากดปุ่มเปลี่ยน Mode ก็เคยมีบางครั้งเหมือนกันที่เผลอไปกด Parking Assist เข้า แต่ดีอย่างหนึ่งที่ถ้าเราไปกดตอนรถวิ่งได้ความเร็วระดับหนึ่ง Parking Assist จะไม่ทำงานครับ

Sport+ mode

          Mode แรกที่ขอแนะนำคือ Sport+ mode ครับ ซึ่งใน Mode นี้จะไม่มีความแตกต่างไปจาก Sport mode เลยยกเว้นแต่ว่า DSC จะถูกปิดการทำงานลง (แต่ไม่แน่ใจว่า DTC จะถูกปิดการทำงานด้วยไหม) ต้องขอสารภาพว่า ผมยังไม่เคยลองใช้ Mode นี้เลยครับ เพราะไม่มั่นใจว่าตัวเองจะคุมรถที่มีแรงบิดถึง 380 Nm ได้ดีนัก (หลายครั้งแล้วที่ผมได้รับการช่วยเหลือจาก DTC ได้บางจังหวะที่เผลอ Kickdown แรงๆโดยไม่ได้ตั้งใจ) และที่สำคัญ Mode นี้จะมีให้เฉพาะกับ F30 ตัว Sport Line และ M sport เท่านั้นครับ

DSC

          ไฟแสดงการปิดการทำงานของ DSC จะแสดงขึ้นทันทีที่เข้า Mode นี้

DSC

          และ Mode ที่ 2 ที่จะแนะนำคือ Mode มีความเป็น BMW มากที่สุดในสายตาผมก็คือ Sport Mode นั่นเองครับ ซึ่งในขณะที่ขับ Mode นี้ รถจะมีความตึงในการควบคุมอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับ Comfort และ Eco Pro (แต่ช่วงล่างไม่ได้ต่างจาก Mode อื่นอย่างชัดเจนนัก) เพราะทันทีที่คุณเข้าสู่ Mode นี้ รอบเครื่องยนต์จะรอรอบไว้ที่ช่วงที่แรงบิดสูงสุดนั้นทำงานครับ แค่สะกิดคันเร่งเบาๆ รถก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วตามอารมณ์คนขับเลยทีเดียว

          สำหรับใครที่เบื่อกับการ Kickdown เพื่อแซงรถใน Comfort หรือ Eco Pro ละก็ ขอแนะนำให้ใช้ Mode นี้ในการแซงรถครับ เพราะคันเร่งไฟฟ้าของรถคันนี้ (ใน Mode นี้) ไม่รู้จักคำว่ารอครับ

          ที่ผมแนะนำแบบนี้เพราะเวลาผมขับใน Comfort หรือ Eco Pro mode ผมเคยทำล้อ Slip จน DTC ทำงานมาบ้างเหมือนกันในตอนที่อยากจะออกตัว หรือแซงแรง ๆ ซึ่งเวลาเกิดอาการแบบนั้นขึ้น เสียงล้อจะดังทันที และทำให้รถเราเป็นจุดสนใจโดยที่เราอาจจะไม่เต็มใจได้ครับ

iDrive

          เวลา Display ของ Sport และ Sport+ mode แสดงขึ้นมา เราสามารถคลิกที่ปุ่ม iDrive เพื่อเปิดตัววัดค่าแรงม้า และแรงบิดได้ทันทีครับ ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ใน Comfort และ Eco Pro Mode เช่นกัน

          (ทุกครั้งที่เราเปลี่ยน Mode จะมี Display ของแต่ละ Mode แสดงขึ้นมาที่จอ และมี Shortcut เข้า Feature ที่น่าสนใจได้ทันที ถ้าไม่ชอบสามารถปิดไม่ให้ Display แสดงขึ้นตอนเปลี่ยน Mode ได้ในภายหลังครับ)

Comfort Mode

          สำหรับ Comfort Mode นั้นเป็น Mode ที่จะทำงานทันทีทุกครั้งที่คุณ Start รถ (ไม่สามารถ Set ให้ iDrive จำ Mode สุดท้ายที่ใช้ได้) ซึ่งนี่เป็น Mode ที่ผมแทบจะไม่ได้ใช้เลย เพราะมัน Comfort สมชื่อจริง ๆ เพราะคันเร่งจะมีอาการหน่วง และชักช้าอยู่ประมาณหนึ่ง ยิ่งใครก็แล้วแต่ที่เท้าหนักๆละก็ แทบไม่ต้องกลัวเลยว่าตอนเอาเท้าสะกิดคันเร่งไปนิดนึงแล้วรถจะพุ่งเลย

          ผมคิดว่า Mode นี้เป็น Mode ที่เหมาะจะขับให้พ่อแม่ หรือญาติผู้ใหญ่นั่งที่สุดแล้วครับ

Dashboard

          เวลาใช้ Sport mode และ Comfort หน้าตาของ Dashboard จะเป็นแบบนี้ครับ

Eco Pro

          ส่วน Mode สุดท้ายนี้จะเป็น Mode ที่ผมใช้ขับมากที่สุด นั่นก็คือ Eco Pro นั่นเองครับ โดย Eco Pro จะเป็น Mode ที่คันเร่งหน่วงและช้าที่สุด ขนาดจะ Kickdown ยังต้องรอประมาณ 2-3 วิเลย (กดคันเร่งเกิน 50% ก็ยังไม่พุ่งเลย) และ Engine Brake เยอะที่สุดด้วย ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบกดเบรกบ่อยๆ (แต่ต้องระวังนิดนึงหากมีรถขับจี้หลังอยู่) และใช้งานร่วมกับระบบ Auto Start/Stop ได้อย่างดี

Dashboard

          ส่วนนี่คือหน้าตาของ Dashboard ตอนใช้ Eco Pro ครับ

          เมื่อเข้าสู่ Eco Pro เมื่อไหร่ ที่ใต้ Gauge วัดรอบเครื่องจะเปลี่ยนเป็นแถบสีฟ้าทันที

Gauge วัดรอบเครื่อง

          โดยแถบสีฟ้า จะเป็นระยะของน้ำหนักการกดคันเร่งของคนขับ ซึ่งเป็นระยะการกดคันเร่งที่มีประสิทธิภาพของการบริโภคเชื้อเพลิงที่ดีที่สุด และแถบสีฟ้าจะเทียบกับเท่า 60% ของระยะคันเร่งโดยประมาณ คือต่อให้เร่งให้ตายยังไง ถ้ายังไม่เร่งเข้าสู่แถบสีเทาละก็ รถก็จะไม่พุ่ง รอบเครื่องจะไม่ถูกดีดเกิน 3000 rpm แรงบิดจะถูกใช้ไม่เกิน 300 Nm และตัว iDrive หรือ Dashboard ก็จะไม่เตือนอะไรขึ้นมาครับ

          เมื่อไหร่ก็ตามที่เราถอนคันเร่งออก และความเร็วของรถวิ่งไม่ต่ำกว่า 20 กม./ชม. แถบสีฟ้าจะดีดไปที่เครื่องหมาย Battery เพื่อชาร์จไฟเข้า Battery ของรถโดยนอกจากจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันแล้ว ยังทำให้รถมี Battery เพียงพอสำหรับการ Auto Start ครั้งต่อไปด้วยครับแต่ที่แน่ ๆ ระบบการชาร์จไฟกลับเข้า Battery นั้น Mode อื่นก็สามารถทำได้เช่นกันครับ

          (เวลาขับใน Mode นี้ ถ้าหากเบรกเร็ว หรือสั้นเกินไป iDrive จะเตือนให้เราค่อย ๆ ใช้เบรกในครั้งต่อไป เพราะการเบรกอย่างนุ่มนวล หรือค่อย ๆ หยุดรถจะส่งผลให้การชาร์จไฟเข้า Battery ทำได้นานขึ้นครับ)

          ส่วนเมื่อไหร่ก็ตามที่เราขับ Eco Pro อยู่แล้วเร่งไปจนถึงแถบสีเทาเมื่อไหร่ แถบสีฟ้าจะเปลี่ยนเป็นสีเทา และมีเครื่องหมายถอนคันเร่งปรากฏขึ้นทันที โดยนอกจากนี้ ถ้าหากเราใช้เกียร์ในโหมด DS หรือ Manual และขับรถเร็วเกินความเร็วที่ตั้งเอาไว้ใน Eco Pro แถบสีฟ้าก็จะกลายเป็นสีเทาและสั่งให้เราเปลี่ยนเกียร์กลับไปที่ D หรือถอนคันเร่งเช่นกัน

Eco Pro

          ผู้ขับสามารถ Set ความเร็วเพื่อให้สวดคล้องกับการทำงานของ Eco Pro ได้ และยังสามารถ Set ให้การทำงานของระบบปรับอากาศภายในรถให้ทำงานน้อยลงเพื่อประหยัดพลังงานได้ โดยหากคุณไม่ชอบระบบดังกล่าว สามารถปิดการใช้งานได้ครับ (ผู้ขับสามารถ Set ให้มีการแจ้ง Speed limit ของรถได้ต่างหากโดยไม่ต้องพึ่ง Eco Pro ครับ)

Eco Pro

          นอกจากนี้ เรายังสามารถ Monitor อัตราการบริโภคเชื้อเพลิงของรถได้แบบ Realtime โดยสามารถ Set ให้ดูอัตราการบริโภคได้ในช่วงระยะ 15นาที, 1 ชั่วโมง, 4 ชั่วโมง และ 1 วันครับ (ถ้าจำผิดต้องขออภัยด้วย)

          ถ้าสังเกตดูดี ๆ จะเห็นว่า เจ้า F30 นี่สามารถทำได้ถึงเกือบ 30 กิโลเมตร/ลิตรเลยทีเดียว หากคุณสามารถวิ่งรถที่ประมาณ 110 km/hr แล้วปล่อยให้รถไหลไปเรื่อย ๆ จนเหลือ 90 แล้วเร่งถึง 110 แล้วปล่อยให้รถไหลไปเรื่อย ๆ หรือใช้ Cruise control ที่ความเร็ว 90-110 km/hr ได้อย่างสม่ำเสมอละก็ รถคันนี้สามารถทำได้มากกว่า 20 กิโล/ลิตรแทบจะตลอดเวลาได้สบาย ๆ เลยละครับแต่ถ้าหากขับใน Mode อื่นละก็ บอกได้เลยว่ายากพอสมควรที่จะทำให้อัตราการบริโภคน้ำมันดีกว่า Eco Pro ครับ

          (นอกจาก Eco Pro แล้ว ถ้าหากคุณเปลี่ยน Mode ในขณะที่ยังดูหน้าจอการบริโภคเชื้อเพลิงอยู่ ตัว iDrive จะระบุ Mode ที่คุณใช้ ณ นาทีนั้น ๆ อีกด้วยครับ จึงสามารถทำให้คุณเปรียบเทียบอัตราการบริโภคของระหว่างแต่ละ Mode ได้อย่างง่ายดาย)

          หลังจากที่ผมได้อธิบายถึงการใช้งานของ Driving mode ไปแล้ว ต่อมาก็จะเป็นในส่วนของ Auto Start/Stop เพราะผมได้กล่าวถึงระบบนี้มาในโพสต์ก่อนๆแล้ว

Auto Start/Stop

          โดยระบบ Auto Start/Stop นั้นคือระบบการดับ และติดเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติทุกครั้งที่มีการเหยียบเบรก และรถหยุดอยู่กับที่สนิทแล้ว (เครื่องจะ Start อีกครั้งที่มีการถอนเบรก หรือเปลี่ยนจากเกียร์ P ไปตำแหน่งอื่น)

          จริง ๆ แล้ว ระบบนี้ไม่ได้เป็นระบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ หรือแปลกใหม่แต่อย่างใด เพราะรถยุโรปในต่างประเทศหลาย ๆ รุ่นก็มีระบบนี้ติดตั้งอยู่ในรถยนต์มานานสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ในช่วงที่ผ่านมาในบ้านเรานั้น มีรถน้อยรุ่นจริง ๆ ที่มีระบบนี้ติดตั้งอยู่ (ไม่นับรวม รถ Hybrid เพราะเงื่อนไข กลไกการใช้งานต่างกัน) และกลับกลายเป็นว่า มอเตอร์ไซค์ที่ประกอบในบ้านเราอย่าง Honda PCX มีระบบนี้ติดตั้งอยู่ในตัวรถตัดหน้ารถยนต์ 4 ล้อที่ประกอบในบ้านเราเสียอีก

          (ค่ายรถยนต์ค่ายอื่น อาจจะเรียกระบบนี้ว่า idling stop, i-stop และมีชื่ออื่นอีกที่ผมนึกไม่ออก โดยจะมีเงื่อนไขการใช้งานแตกต่างกันออกไป สำหรับค่ายรถญี่ปุ่น เท่าที่ทราบ จะมี Mazda นี่แหละ ที่ใช้ระบบนี้ในรถหลาย ๆ รุ่นแล้ว ส่วนในบ้านเราน่าจะประเดิมด้วย CX-5 เป็นคันแรกที่มีระบบนี้)

          ระบบ Auto Start/Stop จะไม่ทำงาน (หรือกลับมา Start อีกครั้งหลังจาก Stop) ก็ต่อเมื่อ

          - ถอนเบรก
          - มีการย้ำเบรกบ่อยๆ
          - พวงมาลัย หรือล้อรถไม่ตรง
          - เปิด Parking Assist
          - ความร้อนภายนอกรถเกิน 35 องศา
          - ความเย็นภายในรถน้อยกว่าความเย็นที่เราตั้งไว้
          - เมื่อระบบไล่ไอน้ำเกาะกระจกทำงาน
          - Battery น้อย
          - เปลี่ยนจากเกียร์ D ไปเกียร์อื่นที่ไม่ใช่ P
          - เปลี่ยนจากเกียร์ P ไปเกียร์อื่น

          โดยเงื่อนไขเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมประสบมาจริง ๆ กับรถคันนี้ครับ

          (เมื่อ Auto Stop เข็มวัดรอบเครื่องจะชี้ไปที่คำว่า Ready และถ้าหากการ Auto Stop ใช้งานไม่ได้ จะมีเครื่องหมาย Auto Start/Stop ถูกขีดเอาไว้ปรากฏขึ้นครับ)

Auto Stop

          สำหรับใครก็ตามที่ไม่ชอบระบบนี้ สามารถปิดได้โดยกดปุ่ม A off ที่อยู่เหนือปุ่มติดเครื่องได้ครับ (Auto Start/Stop จะถูกเปิดใช้งานใหม่ทุกครั้งที่มีการ Start เครื่อง หรือเปลี่ยนไปใช้ Eco Pro Mode)

          เวลาจะขับจอดรถ เข้าซอย ที่คับขัน หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนเลนตอนรถติดกะทันหัน ขอแนะนำให้ปิด Auto Start/Stop นะครับ เพราะทุกครั้งที่เครื่อง Auto Stop เวลาที่ Auto Start จะใช้เวลาพอ ๆ กันตอนที่ Start เครื่องตามปกติเลยครับ นอกจากนี้พวงมาลัยจะหมุนไม่ได้ตอนที่ Auto Stop ครับ

          และถ้าหากคุณเปิดประตูรถออก และปลดเข็มขัดนิรภัยตอนที่ Auto Stop อยู่ เราจะเข้าเกียร์ P และดับเครื่องให้อย่างถาวร (เข็มวัดรอบเครื่องจะชี้ไปที่ Off และอย่าลืมเหยียบเบรกทุกครั้งที่ Start รถ) เพื่อความปลอดภัยครับ โดยผมเจอเหตุการณ์นี้ เพราะจำเป็นต้องประทับบัตรที่กั้นประตู แต่พึ่งติดฟิล์มรถมา เลยยังไม่เลื่อนกระจกครับ

          โดยส่วนตัวแล้ว ผมอยากให้ Auto Stop ทำงานตอนที่เข้าเกียร์ไปที่ N หรือ P แล้วเท่านั้นมากกว่า เพราะมีเจ้าของ F30 หลายๆคนรำคาญระบบนี้ และไม่ได้ใช้ระบบนี้อย่างเต็มที่ (ปิดทุกครั้งที่ขับ) เพราะมันเล่นดับทุกครั้งที่เหยียบเบรกเลยทีเดียว (ถ้าไม่ปิดละก็ ก็ต้องเอาเท้าแตะเบรกเบามาก ๆ รถถึงจะไม่ดับทันที) ซึ่งระบบนี้ควรจะให้อิสระแก่ผู้ขับมากกว่านี้ครับ

          (คนที่ขับ 320i กับ 328i อาจจะไม่รำคาญเท่าไหร่นัก แต่สำหรับ 320d นั้น เวลา Auto Start ที รถก็สะท้านไปทั้งคันทุกครั้งที่ Start แต่อย่างน้อย ระบบนี้ก็ไม่ทำให้ผมลืมว่า ผมกำลังขับรถดีเซลอยู่ เพราะมีครั้งหลายอยู่เหมือนกันที่ผมขับ 320d แล้วชอบนึกว่าตัวเองกำลังขับรถเบนซินอยู่)

          ถัดมาจากเรื่อง Auto Start/Stop แล้ว ขอรวบรัดในส่วนของ Feature พื้นฐานภายในรถแล้วกันนะครับ

 แผงควบคุมเครื่องเสียง

          แผงควบคุมเครื่องเสียง และปรับอากาศไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่การใช้งานก็ถือว่าครบครันพอสมควร ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่

          โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ชอบระบบ Auto A/C ของ F30 เท่าไหร่ เพราะต่อให้เปิด Auto แล้ว สุดท้ายผมก็ต้องมากดปรับเองอยู่ดี หากรู้สึกว่าอากาศภายในรถเย็นเกินไป หรือร้อนเกินไป (แถมเวลาร้อนมากๆ กด Max A/C ทีไร กลิ่นข้างนอกเข้ามาหมดเลยครับ)

          ส่วนตัวเลข 1-8 สามารถ Set ให้เป็น Shortcut สำหรับเข้าไปที่หน้าจอต่าง ๆ ของ iDrive ได้ครับ

ปุ่มควบคุมไฟหน้าหลังของรถ

          ปุ่มควบคุมไฟหน้าหลังของรถ หน้าตาก็ไม่ได้ต่างจากรถยุโรปทั่วไปนัก มีที่บิด-เปิดไฟต่ำ, ไฟหรี่ (แสง Daylight จะสว่างน้อยลง), ระบบเปิดปิดไฟหน้าหลังแบบ Auto, Switch เปิดไฟตัดหมอกหน้าหลัง และตัวปรับความสว่างของ Dashboard ครับ

          (เวลาเปิดไฟหน้า ผมชอบมากเลย เพราะแสงจะค่อย ๆ สว่างขึ้นมาอย่างนุ่มนวลมีมิติ ไม่ได้แบบว่าพอเปิดปุ๊บ ไฟหน้าติดปั๊บอย่างหยาบคาย)

ก้านไฟเลี้ยว

          ก้านไฟเลี้ยว ไฟกะพริบ และไฟสูงจะอยู่ด้านซ้าย และที่ปลายก้านจะมีปุ่มให้กดดูค่าตัวเลขต่าง ๆ ที่อยู่ใต้ตัวบอกเวลาใน Dashboard ครับ (จะดูระยะทางที่วิ่งได้ในน้ำมันถังนี้, ความเร็วเฉลี่ย, วันที่, อัตราบริโภคเชื้อเพลิงแบบเฉลี่ย, ระยะทางที่วิ่งได้เพิ่มขึ้นเมื่อใช้ Eco Pro และอื่น ๆ ให้ใช้ปุ่มนี้นะครับ)

          (ก้านซ้าย ก้านขวา จะมีลักษณะเป็นก้านไฟฟ้า มีจังหวะให้รู้สึกอยู่ แต่ค่อนข้างจะจับจังหวะยากเล็กน้อยหากไม่ชิน และสามารถตั้งให้ไฟเลี้ยวกระพริบ 3 ครั้งได้หากแตะไฟเลี้ยวเบาๆ)

ก้านที่ปัดน้ำฝน

          ก้านที่ปัดน้ำฝน เวลากดลงจะปัดแค่ 1 ที เวลาจะปัดหลายทีให้ดันขึ้น และถ้าอยากจะฉีดกระจก ให้ดันก้านเข้าหาตัวถ้าสามารถใช้ระบบปัดแบบ Auto ให้กดปุ่มที่ปลายก้าน และสามารถปรับ Sensitivity ของระบบปัด Auto ได้ตรงที่ลูกเลื่อนครับ

          ถ้าฝนตกไม่เยอะ ให้ปัดเองนาน ๆ ทีดีกว่า เพราะเวลาใช้ Auto ที่ปัดมันขยันมากจนน่ากลัวครับ มันปัดจนกระทั่งก้านปัดค้างที่หน้ากระจกค้างประมาณ วิ 2 วิได้ (เอายางอะไรมาทำยางปัดน้ำฝนเนี่ย) ดูน่ากลัวยังไงก็ไม่ทราบ

          (ตอนผมขับคันนี้วันแรก เผลอปัดกระจกไปตั้ง 10 ครั้งได้ ร้องไห้ และที่สำคัญ อย่าเลื่อนกระจกลงตอนฝนตก หรือกระจกเปียกใหม่ๆ เพราะเวลาเลื่อนกระจกขึ้น คราบน้ำจะเต็มกระจกเลยครับ)

Cruise Control

          Cruise Control สำหรับเจ้า F30 ไม่ได้ใช้งานยากอะไรมากมาย เวลาจะใช้ก็กดที่ปุ่มรูป Gauge วัดความเร็วพอได้ความเร็วที่พอใจก็กดที่ SET เวลาจะเลิกใช้ Cruise Control ก็กดที่รูป Gauge 2 ที พอจะกลับมาใช้ความเร็วเดิมที่ Set ไว้ก็กด RES ครับ

          น่าเสียดายที่ไม่มี Adaptive Cruise Control มาให้ (จำชื่อที่ชัดเจนไม่ได้)
โดยระบบนี้จะเป็น Cruise Control ที่สามารถจับระยะห่างของรถคันหน้า และจะปรับระยะห่างระหว่างรถเรากับรถคันหน้าแบบอัตโนมัติ (สามารถปรับระยะความห่างเองได้)

ตัวควบคุมระบบเครื่องเสียง

          ส่วนด้านนี้ก็จะเป็นตัวควบคุมระบบเครื่องเสียง, Bluetooth และระบบสั่งการด้วยเสียงครับ

          (Microphone อยู่เหนือหัวคนขับ)

กระจกหลัง

กระจกข้าง

          และนี่คือสิ่งที่ผมอยากจะได้มานานแสนนานแล้ว (เพราะเวลาขับ Mazda น้ำตาผมจะไหลทุกครั้งที่เจอพวกเปิดไฟสูง ไฟตัดหมอกโดยไม่จำเป็นทั้งหลาย)

          มันคือ กระจกหลัง และกระจกข้างพร้อมระบบตัดแสงนั่นเองครับ เมื่อระบบทำงาน กระจกจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว โดยกระจกหลังจะมี Sensitivity ในการตัดแสงมากกว่ากระจกข้าง ในบางกรณี ถ้ามีแสงแดดส่องมาจากหลังรถตรง ๆ กระจกหลังมันยังตัดแสงให้ในบางครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ครับ

          มุมมองของกระจกหลัง ใช้งาน และอ่านความเคลื่อนไหวรถข้างหลังได้ง่าย แต่สำหรับกระจกข้าง อาจจะลำบากสักเล็กน้อย เวลาใช้งานจริง ๆ ถ้าต้องการมุมมองที่กว้างที่สุด ควรจะปรับมุมมองกระจกข้างขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้ปลายกระจกข้างสามารถเห็นกันชนของรถที่อยู่เลนข้าง ๆ ได้ครับ

Switch แผงประตู

          Switch แผงประตูฝั่งคนขับ นอกจากปุ่มควบคุมกระจกทั้ง 4 บานแล้ว ก็จะมีปุ่มดึง และเก็บผ้าม่านที่กระจกหลัง ปุ่มพับกระจก ปุ่มปรับกระจกข้าง ซึ่งถ้าหากคาปุ่มเลื่อนกระจกข้างไว้ที่ด้านขวาตอนที่ใช้ Parking Assist กระจกข้างซ้ายก็จะหักลงเพื่อให้เห็นมุมมองที่ด้านล่างฝั่งซ้ายของรถครับ

 ระบบ Sensor

          ระบบ Sensor ช่วยจอด หรือ Parking Assist จะจับระยะได้ 3 ระบบคือ เขียว เหลือง แดง ต้องบอกเลยว่า Sensor ค่อนข้างจะไวมากครับ ถ้าระบบเตือนจนมีสีแดงเล็ดออกมาเล็กน้อยแล้วต้องหยุดทันทีนะครับ ไม่งั้นรถอาจจะไปชนกับวัตถุได้

          จริง ๆ แล้วผมเคยถอยรถจนถึงขั้นมีสีแดงมากกว่าครึ่งมาแล้ว เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าที่ ๆ ผมเข้า ถอยให้ตายยังไงก็ไม่ชนอะไรแน่ ๆ สุดท้ายแล้ว ระบบมันร้องลั่นจนถึงขั้น iDrive เตือนขึ้นมาให้ถอดเข็มขัดออกแล้วลงไปดูที่ท้ายรถเลยทีเดียว

          แต่โดยรวมแล้ว ระบบช่วยจอดของ F30 เชื่อใจได้ครับ และมันเป็นระบบที่ดีจนผมรู้ว่า รถคันนี้ไม่จำเป็นต้องมีกล้องมองหลังเลยด้วยซ้ำไป

Profile Setting

          นอกจากนี้ เรายังสามารถสร้าง Profile Setting ต่าง ๆ ของรถได้ 3 แบบ โดยหลักๆแล้ว จะมีตำแหน่งของเบาะ กระจกข้าง คลื่นวิทยุ (หรือเพลง) ที่เปิดไว้ครั้งสุดท้าย และระบบปรับอากาศ จะที่แยกเป็น Profile ไหน Profile นั้น

          โดยเรายังสามารถ Save Profile เก็บไว้ที่ Thumbdrive (ต้อง Format เป็น FAT นะครับ) ได้เพื่อ Backup เอาไว้ หรือนำไปใช้กับ BMW คันอื่นที่รับรองระบบนี้ได้ครับ

          อย่างไรก็ตาม ระบบดังกล่าวยังไม่สามารถใช้กับ BMW รุ่นก่อน ๆ หลาย ๆ รุ่นได้นะครับ และที่แน่ๆ ผมว่าระบบตรงนี้ยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ เพราะผมเคย Set ให้ตำแหน่งเบาะกับกระจกข้างปรับทันทีอัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยน Profile แต่กลายเป็นว่าระบบนี้ทำให้ Setting บางส่วนอย่างกระจกข้างรวน แถมพอ Import Profile กลับก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย สุดท้ายเลยต้องปิดระบบปรับเบาะ และกระจกข้างตามตำแหน่งสุดท้ายที่ Profile นั้น ๆ ใช้ทิ้งไปครับ

          ก่อนจะพูดถึงความรู้สึกรวม ๆ ของตัวรถ ผมขอปิดท้ายเรื่องกุญแจเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนนะครับ

กุญแจของ F30

          กุญแจของ F30 นั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 4 Theme โดยของ Sport Line นั้นจะเป็นสีดำคาดแดงเล็กน้อย ซึ่งวัสดุจะทำจากพลาสติกเกรดชั้นดี มีน้ำหนักเบา

          โดยที่ปลายกุญแจสามารถกดที่ปุ่มหลังกุญแจเพื่อดึงลูกกุญแจออกมาใช้เปิดประตูได้ ในกรณีที่ Battery กุญแจหมด (กดปุ่มบนเพื่อเปิดประตู ปุ่มล่างเพื่อเปิดท้าย และกดที่ Logo BMW เพื่อล็อกรถ)

          ที่ตัวรถ นอกจากปุ่ม Start เครื่องแล้ว จะไม่มีช่องเสียบกุญแจ หรือช่องบิดลูกกุญแจมาให้ในกรณีที่ต้อง Start รถหาก Battery ที่กุญแจหมด หรือมีคลื่นรบกวนกุญแจ

          ที่คอพวงมาลัย ตรงบริเวณด้านขวา ตรงตำแหน่งที่รถยนต์ทั่วไปใช้บิดกุญแจนั้น จะมีรูปลูกศรชี้เข้าหากันที่เครื่องหมายกุญแจ (ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาครับ) ให้คนขับเอาหัวกุญแจ (หัวกุญแจนะครับ ไม่ใช่ลูกกุญแจ) จ่อไว้ที่เครื่องหมายกุญแจตรงตำแหน่งดังกล่าว เมื่อ iDrive ตรวจพบกุญแจ คนขับต้องกดเบรก และกดปุ่ม Start ภายใน 10 วินาทีครับ

          โดยในอนาคต การ Start รถแบบฉุกเฉินน่าจะทำกันในลักษณะนี้ครับ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

          เอาละครับ คราวนี้ก็มาถึงคราวที่ผมจะพูดถึงความรู้สึกรวม ๆ ที่ได้สัมผัสรถคันนี้กัน

          สำหรับในส่วนของเครื่องยนต์ดีเซลนั้น เรื่องของเสียงเครื่อง เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ดีเซลทั่วไป ผมว่าเครื่องของ 320d ดีนั้นมีเสียงที่สุภาพ และนุ่มนวลพอสมควร เมื่อยืนอยู่หน้ารถ หรือฟังเสียงเวลามีการเร่งเครื่องเกิดขึ้น คือมันก็ดังแค่พอให้รู้ว่าเป็นดีเซลนะ แต่ก็ไม่ได้ดังเท่าพวกรถกระบะเครื่องใหญ่ ๆ เท่าไหร่นัก ซ้ำร้าย ผมว่ารถเครื่องเบนซินบางคันยังเสียงดังกว่าอีก

          เวลาอยู่ในรถ ถ้าคุณเปิดเครื่องปรับอากาศในแบบ Auto โดยตั้งระดับไว้ตั้งแต่ระดับที่ 3 จนถึงสูงสุดเป็นต้นไป ถ้าใช้รอบเครื่องไม่มาก ผมว่าเสียงเครื่องที่เล็ดเข้ามาในรถนั้นแทบจะไม่ปรากฏเลย บางทีผมขับเพลิน ๆ นึกว่ารถตัวเองเป็นเครื่องเบนซินด้วยซ้ำไป (ถ้าไม่สังเกตจริง ๆ ก็ไม่รู้หรอกครับ) แต่เมื่อไหร่ที่เปิดเครื่องปรับอากาศเบา ๆ คุณได้ยินเสียงเครื่องดีเซลแน่นอน แต่เสียงจะเล็ดเข้ามาที่ภายในรถน้อยมาก ถึงมากที่สุดครับ

          มีอยู่คราวนึง ตอนขับเข้าบ้านมาจากที่ทำงาน ผมก็มัวแต่ Set นั่น Set นี่ในรถนั่นแหละ แล้วเท้าเผลอไป Kickdown ที่เครื่อง รอบดีดไป 6000 rpm เลยนะ ไอ้ตกใจก็ตกใจอยู่ แต่เสียงเวลาเครื่องมันเร่งสุด ๆ น่ะ ผมว่าลั่นน้อยกว่า และเก็บอาการดีกว่า Mazda 3 เก่า ๆ ของผมเสียอีก

          จะมีเพียงแค่ตอน Start เครื่องหรือเครื่องมัน Auto Start มากกว่าที่เครื่องยนต์แสดงความเป็นดีเซลออกมามากที่สุดครับ

          บอกตรง ๆ เลย ตอนนี้ผมกลับชอบเสียงเครื่องดีเซลของ BMW ด้วยซ้ำ ผมว่ามันนุ่มกำลังดี ไม่ได้น่ากลัวอะไรเลยถ้าคุณกำลังสนใจจะออก 320d แล้วมีคนมาขัดว่า เสียงเหมือนรถกระบะ เสียงมันดังน่ารำคาญ ผมแนะนำก่อนนะครับ ว่าให้ไป Test Drive ก่อน ถ้าไม่ชอบจริง ๆ ก็ค่อยว่ากันอีกที แต่ถ้าเกิดชอบขึ้นมาละก็ ผมว่าจะพลาดโอกาสที่ดีไปพอสมควรเลยทีเดียวครับ

          ในส่วนของกำลังเครื่องนั้น ถ้าอยากจะสัมผัสกำลังสูงสุดของเครื่องจริง ๆ อย่าให้ลองใน Comfort หรือ Eco Pro เป็นอันขาดนะครับ เพราะนั่นไม่ใช่บุคลิกที่แท้จริงของ F30 คันนี้เลย เวลาจะลองขับ ให้ลองด้วย Sport Mode เท่านั้น

          ด้วยความที่แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 380 Nm ในรอบเครื่องระหว่าง 1750 - 2750 rpm (แรงบิดมาไว และแรงกว่า Compact Car ญี่ปุ่นเครื่อง 2.0 ทั่วไป 1 เท่าตัว) ซึ่งใน Sport Mode นั้นรอรอบเครื่องไว้ให้คุณที่รอบย่านนี้แล้ว แค่กดเบา ๆ ก็พุ่งหลังติดเบาะอ่อน ๆ แล้ว

          แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เร่งเครื่องจนเลย 3000 rpm ไปแล้ว ผมว่าเครื่องยนต์ไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไหร่ ถึงแม้จะมีแรงม้าสูงสุดที่ 184 ตัวมารอที่รอบ 4000 rpm ก็ตาม

          ถ้าสรุปได้สั้น ๆ ผมว่า 320d เหมาะกับคนที่ไม่อยากกดคันเร่งหนัก ๆ แต่ชอบขับรถเร็วเสียมากกว่า
ถ้าคุณไม่คิดมากเรื่องค่าน้ำมัน และชอบเล่นรอบเครื่องสูงๆ ผมว่า 320i จะเหมาะกว่าครับ (แรงบิดน้อยกว่า แต่มาเรื่อย ๆ ไม่หด ไม่หายครับ)

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

          ในส่วนของช่วงล่าง และการควบคุมนั้น ถ้าใครชอบรถที่มีบุคลิก Sport หนึบๆ แข็งๆละก็ ผมบอกได้เลยว่าคุณจะผิดหวังกับ F30 มากพอสมควร เพราะช่วงล่างนั้นนุ่มนวล และสุภาพเอาเรื่องเลยครับ ถึงแม้จะขับใน Sport Mode เพื่อให้เครื่องยนต์มาช่วยเพิ่มความตึงของตัวรถก็ตาม พวงมาลัยกับช่วงล่างก็ยังมีบุคลิกเหมือนเดิม ไม่ต่างจาก Comfort และ Eco Pro เลย

          แต่ถ้าใครชอบขับรถไปทางไกลบ่อยๆ หรือต้องนั่งรถนานๆ ผมว่า F30 น่าจะถูกใจพอสมควร ไม่ว่าจะถนนจะมีสภาพแบบไหน ช่วงล่างสามารถเก็บอาการได้เกือบหมดเลยครับ ถ้าชอบขับกระชาก ๆ นิด ๆ และเจอเนิน เจอหลุมไม่เบรก ชอบวิ่งบนทางไม่เรียบเป็นบางครั้ง
F30 เหมาะมากครับ

          สำหรับใครที่ชอบสาดโค้ง ก็น่าจะผิดหวังเล็กน้อยเหมือนกัน เพราะก็เหมือนอย่างที่ผมอธิบายไปในส่วนของพวงมาลัยนั่นแหละ ขนาดสาดแรง ๆ ผมก็ยังต้องเลี้ยวพวงมาลัยเติมตลอดเลย แต่ในทางกลับกัน ตอนที่ผมสาดเข้าโค้งแรง ๆนั้น รถก็เก็บอาการของการเหวี่ยงหนีศูนย์ได้ดีมากเช่นกัน สำหรับคนที่ขับรถแล้วไม่ชอบเจอแรงเหวี่ยง แรงหนีศูนย์ต่าง ๆนาๆเวลาเข้าโค้งจะชอบครับ เพราะเวลารถมันพุ่งเข้าโค้ง มันพุ่งเข้าไปทื่อ ๆ เลย แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความนุ่มนวลอย่างเต็มเปี่ยมอยู่ดี

          สำหรับผู้ที่มีการขับขี่ลักษณะนี้ ผมสรุปให้เลยว่า คุณจะรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ กับรถคันนี้ครับ

          โดยรวมแล้ว สำหรับใครที่ชอบขับรถช่วงล่างแข็ง ๆ ชอบสาดโค้ง ชอบรถที่ช่วงล่างมี Reaction เยอะ ๆ รถคันนี้ไม่น่าจะเหมาะครับ ขับไปเบื่อไปแน่นอน (ถ้าชอบขับทางตรง ๆ เรียบ ๆ ตลอด คุณอาจจะชอบ F30)

          แต่ถ้าคุณเป็นคนต้องขับรถออกต่างจังหวัดเยอะ ๆ พาญาติไปเที่ยว หรือแม้กระทั่วขับในเมืองเยอะ ๆ
รถคันนี้เป็นทั้ง Touring car และ City car ที่ดีในเวลาเดียวกันคันนึงเลยละครับ แล้วคุณจะรักรถคันนี้มาก ๆ เลยครับ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

          ส่วนสุดท้ายนี้ ขอปิดท้ายด้วยเรื่อง การใช้สอยภายในรถ และด้านอื่น ๆ เล็กน้อยแล้วกันครับ

          อย่างแรกเลย ผมชอบมากที่ส่วนสัมผัสส่วนใหญ่ของรถคันนี้ใช้หนังหุ้มไว้เยอะมาก ขอย้ำเลยว่าเยอะมากอย่างแผงเหนือ Console รถนี่ ยังหุ้มด้วยหนังทั้งแผ่นเลยครับ ถึงแม้หนังที่ใช้จะเป็นหนังแข็ง และลายหยาบเสียส่วนใหญ่

          เหมือนจะดูรู้สึกว่า Texture ของภายในดูหยาบคาย (ในทางที่ดี) ไปบ้าง แต่ในทางกลับกัน ผมว่ามัน Classic ไม่น้อยเลย แอบทำให้ผมนึกถึง E36 ที่ผมนั่งตอนเด็ก ๆ อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว (แต่คันนั้นผมว่าพลาสติกเยอะกว่านะ เค้าล้อเล่น)

          สำหรับเบาะนั้น ผมว่าเบาะค่อนข้างจะแข็งไปเสียหน่อยนะครับ ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของ BMW ใช่ไหมที่จงใจเลือกเบาะหนังแข็ง ๆ เพราะเบาะแบบนี้น่าจะทนทานพอสมควรเลย แต่ก็ยังพอให้อภัยได้อยู่ เพราะเบาะค่อนข้างจะรองรับกับสรีระได้ดีพอสมควร ซึ่งก็ดีพอขนาดที่ว่า ผมทำงานมาเหนื่อยๆ เจอรถติด ๆ ก็ยังรู้สึกผ่อนคลายได้พอสมควร แต่ถ้าชอบสบายแบบสุดๆ Nissan Teana หรือ Lexus น่าจะดีกว่าครับ

          (ตำแหน่งของเบาะค่อนข้างต่ำ ถ้าตัดสินใจจะซื้อ ให้ไปลองนั่งก่อนนะครับ ขนาดผมชอบรถเบาะเตี้ย ๆ เล็กน้อย ผมยังปรับเบาะให้สูงสุดเลย เวลาขับ)

          พวกช่องเก็บของต่างๆภายในรถ ผมว่าพวกหลอดไฟที่ให้ความสว่างกับช่องพวกนี้มันน้อยเกินไป บางทีผมจำเป็นต้องเปิดไฟเหนือหัวเป็นบางครั้งเพียงที่จะหาของในช่องเก็บของตรงที่รองแขนซ้าย โดยผมคิดว่ารถญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับจุดๆนี้ได้ดีกว่าครับ ส่วนพื้นฐานการใช้สอยนั้น ไม่ได้ถึงกับดีมาก หรือแย่ไปเลย แต่ก็ยังเพียงพอกับการเก็บของในรถสำหรับคนที่นั่งรถ 2 คน ถ้ารถคันนี้มีคนนั่งมากกว่า 3 คนเป็นประจำ ผมบอกได้เลยว่าช่องเก็บของภายในรถนั้นไม่พอแน่นอนครับ

          ถังน้ำมันของรถคันนี้มีความจุอยู่ที่ 57 ลิตร ซึ่งความจุไม่ได้มากกว่า Compact car ญี่ปุ่นเลย (ถ้าตัวเบนซิน ความจุถังจะเยอะกว่าเล็กน้อย) ในถัง ๆ หนึ่งเนี่ย รถพอจะทำระยะทางได้คร่าว ๆ ประมาณ 600 - 900 กิโลเมตรครับ

          ตอนพ่อผมเอาไปขับเล่นๆ ยังไม่ถึงครึ่งถังก็เอาไปเติมแล้ว 2 รอบ แต่พอผมเอามาขับตอนนี้ที่ท่านไม่ได้จับรถเลย ผมขับมามากกว่า 2 อาทิตย์ได้ ยังไม่เคยเอาคันนี้แวะเอาปั้มน้ำมันเองสักที จริงๆก็ใกล้จะได้แวะแล้วแหละ ขนาดมีน้ำมันอยู่ 1/5 ของถัง ผมยังวิ่งได้อีก 160 โลเลยครับ (ในคู่มือแนะนำว่า อย่าให้ระยะที่รถวิ่งได้ต่ำกว่า 50 กิโล ไม่งั้นอาจจะทำให้เครื่องยนต์สะดุด และเสียหายได้)

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
BMW 320d Sport Line สปอร์ตสุดเท่ในเครื่องดีเซล อัปเดตล่าสุด 27 กรกฎาคม 2564 เวลา 16:24:07 18,355 อ่าน
TOP