ใช้รถหน้าร้อนแบบสบายใจและปลอดภัยมากขึ้น ด้วยวิธีง่าย ๆ 4 ข้อ เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุรวมไปถึงปัญหากวนใจระหว่างการเดินทาง โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
การขับรถในช่วงฤดูร้อน
ซึ่งมีสภาพอากาศร้อนและแสงแดดแรงจัดของเมืองไทยนั้น
รู้หรือไม่ว่าเสี่ยงอันตรายเช่นกัน
เพราะแสงแดดจ้าทำให้ผู้ขับขี่สายตาพร่ามัวและเกิดอาการง่วงนอนได้ง่ายกว่าปกติ
อีกทั้งการไม่ดูแลรักษาอุปกรณ์ประจำรถและเครื่องยนต์ให้พร้อมใช้งาน
จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย
เพื่อความปลอดภัย
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
ได้แนะวิธีตรวจสอบและดูแลรักษาอุปกรณ์ประจำรถยนต์
เพื่อให้การเดินทางในช่วงฤดูร้อนเป็นไปด้วยความปลอดภัยง่าย ๆ เบื้องต้น
ดังนี้
ไม่ว่าจะเป็นรถเก่าหรือรถใหม่ป้ายแดง สำหรับเมืองไทยที่แดดจัดเกือบตลอดทั้งปี ฟิล์มกรองแสงนับว่าเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นมาก โดยฟิล์มกรองแสงที่ได้คุณภาพจะช่วยลดความร้อน ไปจนถึงกรองความสว่างของแสงอาทิตย์ ตัวการสำคัญที่ทำให้ผู้ขับขี่ต้องเพ่งสายตามองเส้นทาง และเกิดอาการง่วงนอนได้ง่ายกว่าปกติ
ดังนั้นควรเลือกฟิล์มกรองแสง (ถึงจะเป็นของแถมก็เลือกได้) ที่มีคุณสมบัติในการลดความร้อนได้ดี (คนละค่ากับปริมาณที่แสงสามารถส่องผ่านได้ เช่น ฟิล์มเข้มก็ไม่ได้แปลว่าลดความร้อนได้เหนือกว่าฟิล์มที่ใสกว่าเสมอไป) และมีการสะท้อนแสงในระดับที่เหมาะสม
อีกทั้งไม่ควรติดตั้งฟิล์มกรองแสงที่สะท้อนแสงมากเกินไป (ฟิล์มฉาบโลหะ หรือที่นิยมเรียกว่าติดปากกันว่าฟิล์มปรอท) เพราะแสงแดดที่ตกกระทบอาจแยงตาผู้ขับรถคันอื่น ทำให้สายตาพร่ามัวและก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้
2. หมั่นทำความสะอาดกระจกหน้า-หลังรถอยู่เสมอ
หลายคนไม่ค่อยได้ล้างรถบ่อยนักในช่วงฤดูร้อน ซึ่งหากมีฝุ่นเกาะที่กระจกหน้า-หลังมาก ๆ อาจทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ลดลง ดังนั้น ควรทำความสะอาดในส่วนของกระจกหน้า-หลัง (หรือจะหน้าต่างด้านข้างด้วยก็ได้) ด้วยน้ำยาเช็ดกระจกแล้วเช็ดด้วยผ้าแห้ง หรือกระดาษหนังสือพิมพ์ (เพราะเนื้อกระดาษจะนิ่ม ไม่ทำให้กระจกเป็นรอย) ให้ใสวิ้งเป็นประจำ
นอกจากนี้การเติมน้ำยาทำความสะอาดหรือแชมพูลงไปในถังน้ำฉีดกระจกเล็กน้อย จะช่วยชะล้างคราบสกปรก คราบแมลงหรือฝุ่นละอองได้สะอาดมากขึ้นยามฉีดน้ำล้างกระจก ทำให้มองเห็นเส้นทางได้อย่างชัดเจนขณะที่ขับขี่ และไม่ควรใช้ที่ปัดน้ำฝนทำความสะอาดกระจกในขณะที่กระจกแห้ง เพราะจะทำให้กระจกเป็นรอยขูดขีด ส่งผลกระทบต่อทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทาง
3. ตรวจสอบยางรถยนต์ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ
เพราะช่วงฤดูร้อนผิวถนนมักจะมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ ทำให้อากาศภายในยางรถยนต์ร้อนจนเกิดการขยายตัว ส่งผลให้ยางเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติและเสี่ยงต่อการระเบิดได้ ดังนั้นควรหมั่นตรวจเช็กสภาพยางรถยนต์เป็นประจำ และไม่ควรประหยัดเมื่อถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยน
4. ตรวจสอบน้ำในหม้อน้ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
การขับรถในช่วงที่อากาศร้อนประกอบกับการจราจรติดขัด อาจทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัดได้ หม้อน้ำจึงเป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยระบายความร้อนเพื่อรักษาอุณหภูมิเครื่องยนต์อยู่ในระดับทำงานปกติ ดังนั้น ผู้ใช้รถควรตรวจสอบน้ำในหม้อน้ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นประจำ โดยเฉพาะรถที่มีอายุการใช้งานเกิน 5 ปี ควรตรวจสอบเป็นประจำทุกสัปดาห์ หากต่ำกว่าระดับที่กำหนดควรเติมน้ำสะอาดหรือน้ำยาหล่อเย็น (Coolant)
ขณะขับรถควรสังเกตเข็มวัดระดับความร้อน หรือสัญลักษณ์แจ้งเตือนความร้อนบนหน้าปัดรถยนต์ ซึ่งอาจเกิดปัญหากับระบบระบายความร้อน ผู้ขับขี่ไม่ควรฝืนขับรถต่อเพราะอาจทำให้เครื่องยนต์ได้รับความเสียหายมากขึ้นได้ ควรนำรถจอดริมข้างทางในจุดที่ปลอดภัย และไม่ควรรีบดับเครื่องยนต์ทันที ให้ติดเครื่องยนต์เดินเบาไว้สักระยะ (ให้พัดลมหน้าเครื่องทำงาน แต่บางรุ่นถึงดับเครื่องแล้ว หากมีความร้อนสะสมมาก พัดลมก็อาจยังทำงานต่อได้เช่นกัน) พร้อมเปิดฝากระโปรงหน้ารถเพื่อช่วยระบายความร้อน
เมื่ออุณหภูมิเครื่องยนต์เริ่มลดลง จึงค่อย ๆ เปิดฝาหม้อน้ำเพื่อเช็กความผิดปกติ ในกรณีน้ำแห้งค่อยเติมน้ำสะอาดลงไป ที่สำคัญห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ร้อนจัด เพราะจะได้รับอันตรายจากไอน้ำที่พุ่งขึ้นมา (ถึงคาดว่าน้ำจะแห้งหมดแล้วก็ตาม)
ความผิดปกติของระบบการทำงานในรถยนต์อาจเกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่ากับรถใหม่หรือเก่า ดังนั้นหากมีเวลาควรใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ซึ่งใช้เวลาและค่าใช้จ่ายไม่มากอยู่แล้วเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ แม้จะไม่ทั้งหมดแต่ก็ช่วยได้ส่วนหนึ่ง
