สถิติการขายรถยนต์ของโตโยต้า ในปี 2560
ยอดขายปี 2560 |
เปลี่ยนแปลง เทียบกับปี 2559
|
|
ปริมาณการขายรวม |
870,748 คัน |
+13.3% |
รถยนต์นั่ง |
345,501 คัน |
+23.5% |
รถเพื่อการพาณิชย์ |
525,247 คัน |
+ 7.4% |
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) |
424,282 คัน |
+7.7% |
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) |
364,706 คัน |
+9.4% |
ด้านการส่งออกในปีที่ผ่านมา (2560) โตโยต้าได้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปจำนวน 299,385 คัน ลดลง 6% คิดเป็นมูลค่า 159,321 ล้านบาท ตลอดจนการส่งออกชิ้นส่วน มูลค่า 65,387 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าการส่งออกที่นำรายได้กลับสู่ประเทศไทยเป็นเงินทั้งสิ้น 224,708 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มตลาดรถยนต์ปี 2561 นายซึงาตะ กล่าวว่า มีปัจจัยบวกเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของ GDP ที่ 3.9%* รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ และภาคเอกชน ประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีส่วนในการกระตุ้นตลาดให้เติบโต และการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่จากหลายค่ายรถยนต์ต่างๆ ดังนั้นเราคาดการณ์ว่า ตลาดรถยนต์โดยรวมในประเทศปี พ.ศ. 2561 จะอยู่ในระดับ 900,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 3.4%
ประมาณการยอดขายรถยนต์ในประเทศ ปี 2561
ปริมาณการขายรวม 900,000 คัน เพิ่มขึ้น 3.4%
รถยนต์นั่ง 352,000 คัน เพิ่มขึ้น 1.9%
รถเพื่อการพาณิชย์ 548,000 คัน เพิ่มขึ้น 4.3%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 424,000 คัน ลดลง 0.1%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 364,000 คัน ลดลง 0.2 %
โตโยต้าตั้งเป้าหมายการขายสำหรับตลาดรถยนต์ในประเทศปีนี้ (2561) ไว้ที่ 300,000 คัน แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 113,000 คัน เพิ่มขึ้น 17.0% รถเพื่อการพาณิชย์ 187,000 คัน เพิ่มขึ้น 30.3% และ รถกระบะ 1 ตัน รวมรถกระบะดัดแปลง) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยอดขายรถเพื่อการพาณิชย์ 157,000 คัน เพิ่มขึ้น 17.6%
ปริมาณการขายรวม 300,000 คัน เพิ่มขึ้น 24.9% ส่วนแบ่งตลาด 33.3%
รถยนต์นั่ง 113,000 คัน เพิ่มขึ้น 17.0% ส่วนแบ่งตลาด 32.1%
รถเพื่อการพาณิชย์ 187,000 คัน เพิ่มขึ้น 30.3% ส่วนแบ่งตลาด 34.1%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 157,000 คัน เพิ่มขึ้น 17.6% ส่วนแบ่งตลาด 37.0%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 133,000 คัน เพิ่มขึ้น 20.9% ส่วนแบ่งตลาด 36.5%
สำหรับเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปีนี้ คาดการณ์ไว้ว่าจะสามารถรักษายอดส่งออกไว้ที่ระดับ 300,000 คัน เนื่องมาจากผลกระทบจากสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกที่สำคัญ
นายซึงาตะ กล่าวเพิ่มเติมว่า "โตโยต้าขอแสดงความขอบคุณภาครัฐที่ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฮบริด หลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)และลงนามบันทึกข้อตกลง(MOU)ร่วมกับกรมสรรพสามิต โตโยต้าตัดสินใจขยายการลงทุน ด้วยการลงทุนสายการผลิตแบตเตอรี่ในประเทศ ที่โรงงานโตโยต้าเกตเวย์ และเราจะยังคงพัฒนายนตรกรรมให้ดียิ่งขึ้นเพื่อนำเสนอตัวเลือกที่หลากหลายให้กับผู้บริโภค
อีกทั้งเรายังพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของโตโยต้า (New Era of Toyota) ด้วย 4 เทคโนโลยีใหม่ซึ่งจะเป็นมาตรฐานของยานยนต์ในอนาคต ประกอบด้วย
1.ระบบไฮบริดเจเนอเรชั่นใหม่
2.นวัตกรรมโครงสร้างใหม่ TNGA (Toyota New Global Architecture)
3.ระบบความปลอดภัยใหม่ที่มีมาตรฐานระดับโลก
4.ระบบนำทางและเชื่อมต่อผู้ขับขี่กับรถยนต์ (Toyota T-connect Telematics)
ซึ่งทั้งหมดนี้เราเริ่มนำเสนอเป็นครั้งแรกใน รถซับคอมแพกต์เอสยูวีรุ่นใหม่ TOYOTA C-HR นอกจากนี้เรายังคงมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนความสุขให้กับสังคมไทย ผ่านการสร้างประสบการณ์ใหม่ภายใต้แนวคิด "LIVE ALIVE"
การทำกิจกรรมเพื่อสังคม อาทิ โครงการCU Toyota Ha:mo โครงการโตโยต้าถนนสีขาวเพื่อรณรงค์ให้เกิดความปลอดภัยบนท้องถนนซึ่งจะครบรอบ 30 ปีในปีนี้ โครงการเมืองสีเขียวเพื่อการรณรงค์ทางด้านสิ่งแวดล้อม และโครงการโตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์ที่นำองค์ความรู้และนวัตกรรมทางความคิดของโตโยต้าไปพัฒนาและปรับปรุงธุรกิจชุมชน ซึ่งจะขยายไปยังทั่วประเทศในปี 2565"
นายซึงาตะ กล่าวย้ำถึงความเชื่อมั่นในประเทศไทยว่า "ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับแผนงานของรัฐบาล เรายังคงมุ่งมั่นในการมีส่วนช่วยส่งเสริมและตอบสนองต่อนโยบายของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งโตโยต้ามุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพและพัฒนาขีดความสามารถของวิศวกรไทยในด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ผ่านพันธกิจของบริษัท โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (TDEM) เพื่อให้ประเทศไทยเติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืน และนี่คืออีกหนึ่งความสุขที่เราพร้อมขับเคลื่อนและยืนเคียงข้างกับคนไทยอย่างยั่งยืนตลอดไป"