x close

Jaguar Lightweight E-Type คลาสสิกเหนือกาลเวลา

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

          Jaguar Lightweight E-Type สุดยอดรถคลาสสิกเหนือกาลเวลา Jaguar Lightweight E-Type สร้างด้วยความปรานีตระดับงานฝีมือเพื่อลงแข่งงาน

          จากัวร์ (Jaguar) เคยประกาศไว้เมื่อช่วงเดือนมีนาคม ปี 2014 ว่าจะทำการสร้างรถที่มีน้ำหนักเบาจำนวน 6 คัน โดยแผนกพิเศษ Jaguar Heritage ซึ่งเป็นแผนกใหม่ของ Jaguar Land Rover ซึ่งตอนนี้เริ่มผลิตจำหน่ายสำหรับลูกค้าที่ได้รับการคัดเลือกแล้วเท่านั้น


Jaguar Lightweight E-Type

          รถรุ่นดังกล่าวคือ Jaguar E-Type จำนวน 6 คัน จะถูกสร้างตามแบบรถ Lightwieght E-Type ในยุคค.ศ. 1963-1964 ที่ถูกผลิตขึ้น ณ โรงงาน Browns Lane เมืองโคเวนทรี ประเทศอังกฤษ บ้านเดิมของมันเหมือนในอดีต

          โดย Jaguar Lightweight E-Type สามารถเข้าร่วมการแข่งขันงานรถคลาสสิคได้ถึงแม้จะผลิตในปี 2014 เพราะผ่านตามข้อกำหนดของ FIA (Federation Internatonale de l\'Automobile) แบบเป๊ะ ๆ 

          นั้นก็เพราะ Jaguar Lightweight E-Type ทั้ง 6 คันนี้จะถูกสร้างขึ้นเพื่อสานต่อโปรเจค "Special GT E-Type" รุ่นดั้งเดิม ที่เคยเริ่มต้นโครงการในปี 1963 โดยตั้งเป้าผลิตจำนวน 18 คัน แต่ในที่สุดแล้วได้มีการสร้างขึ้นมาเพียง 12 คัน เท่านั้น ทำให้เหลือแชสซีส์ Lightweight E-Type อีกจำนวน 6 ชุด ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้

          จวบจนกระทั้งตอนนี้ E-Type ทั้ง 6 ชุดจะถูกปลุกชีพขึ้นมาอีกครั้ง โดยจะมีเลขตัวถังซึ่งเป็นของเดิมจากในอดีต

Jaguar Lightweight E-Type

          ทั้งนี้ Jaguar Lightweight E-Type เคยได้ชัยชนะในการแข่งขันหลากหลายรายการ จนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก หากประเมินมูลค่าคงเป้นตัวเลขที่สูงมากในยุคปัจจุบัน ฉะนั้นการนำ Jaguar รุ่น Lightweight E-Type ที่เหลือจำนวนผลิตอยู่อีก 6 คัน กลับมาผลิตอีกครั้งนี้เรียกได้ว่า Jaguar Heritage จะต้องใช้ทักษะและประสบการณ์ขั้นสุดยอดของทีมวิศวกรและช่างเทคนิคที่มีพรสวรรค์

          ด้านโครงสร้างตัวถังหลักของ Lightweight E-Type นั้นทำจากอะลูมิเนียม ซึ่งวัสดุนี้ถูกนำมาใช้แทนที่เหล็กเพื่อรีดน้ำหนักลงได้มากถึง 114 กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับตัวถังแบบปกติ แม้จะผ่านมาเป็นระยะเวลาถึง 50 ปี แต่เทคโนโลยีตัวถังอลูมิเนียมของ E-Type ทั้ง 6 คัน นั้นได้ถูกถ่ายทอดมายังรุ่นปัจจุบันอย่างรุ่น F-Type และ XJ(X350) เป็นต้นมา

          ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าล้ำสมัยเพียงใด ทาง Jaguar Heritage จะไม่มีการเติมแต่งวัสดุหรือวิธีการที่ทันสมัยลงไปกับ Jaguar Lightweight E-Type ทั้ง 6 คัน เพื่อให้สอดคล้องกับกฎของ FIA

Jaguar Lightweight E-Type

          เครื่องยนต์ของ Lightweight E-type พัฒนามาจากเครื่องยนต์รหัส XK แบบแถวเรียง 6 สูบ ใช้โซ่ราวลิ้นแบบเพลาคู่เหนือฝาสูบที่เป็นอลูมิเนียม ที่มีห้องเผาไหม้แบบครึ่งทรงกลมซึ่งถือว่าล้ำสมัยมากในยุค 60 โดยมีใช้ให้เห็นเป็นครั้งแรกในรถสปอร์ตของ Jaguar ในรุ่น XK120 เมื่อปี 1948

          นอกจากนี้เครื่องยนต์ดังกล่าวการันตรีความยอดเยี่ยม ด้วยประวัติศาสตร์อย่างรถแข่งระดับตำนานอย่าง C และ D-Type ที่รับชัยชนะในการแข่งขันเลอ ม็องส์ ในยุค 50 ถึง 5 ครั้งในส่วนของ Lightweight E-Type จะใช้เครื่องยนต์ขนาด 3,868 ซีซี แบบเดียวกับ D-Type ที่เคยชนะในการแข่งขันเลอ ม็องส์ ในปี 1957 ซึ่งใช้วาล์วเหนือฝาสูบขนาดใหญ่องศากว้างเช่นเดียวกันเพียงแต่เสื้อสูบนั้นผลิตจากเหล็กกล้า แต่ Jaguar Lightweight E-Type จะใช้อะลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนักที่ตกลงบนเพลาหน้า และนี่จะเป็นนวตกรรมเดียวในยุคปัจจุบันที่นำมาปรับใช้

          นอกจากนี้เทคโนโลยีหลัก ๆ ที่นำมาจาก D-Type ก็คือระบบการหล่อลื่นแบบอ่างแห้ง (Dry Sump Lubrication System) ซึ่งจะไม่มีอ่างน้ำมันเครื่องอยู่ใต้เครื่องยนต์ทำให้ลดความสูงของรถลงได้มากกว่าเนื่องจากไม่มีอ่างน้ำมันเครื่อง โดยจะติดตั้ง Sump Tank เพื่อเก็บน้ำมันเครื่องและมีตัวปั๊มให้น้ำมันเครื่องถูกส่งไปเลี้ยงเครื่องยนต์ได้อย่างสม่ำเสมอไม่ว่ารถจะเกิดการเอียงจากการเข้าโค้งแรง ๆ เบรกหรือเร่งหนักแค่ไหนก็ตาม

Jaguar Lightweight E-Type

          Jaguar Lightweight E-Type จะใช้คาบูเรเตอร์ Weber รุ่น 45DCO3 จำนวน 3 ตัว ที่มีกำลังอัด 10:1 เป็นมาตรฐาน โดยจะมีออปชั่นระบบหัวฉีดของ Lucas ให้ลูกค้าเลือกติดตั้งได้ ส่วนระบบระบายไอเสียจะทำจากท่อเหล็กโดยมีท่อพักกลางและแยกออกสองฝั่งแบบท่อคู่ และไม่ว่าลูกค้าจะเลือกระบบจ่ายเชื่อเพลิงแบบคาบูเรเตอร์หรือหัวฉีดก็ตามเจ้า Lightweight E-Type ก็จะให้พละกำลังมากกว่า 300 แรงม้า พร้อมแรงบิด 380 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ซึ่งจะทำให้รถมีอัตราเร่งที่ว่องไวตามแบบฉบับของเครื่องยนต์รถแข่งของ Jaguar โดยพละกำลังจะถูกปล่อยลงสู่พื้นผ่านเกียร์ธรรมดาซิงโครเมช 4 จังหวะ แบบคลัตช์เดี่ยว อัตราทดชิด ที่มีฟลายวีลน้ำหนักเบาความเฉื่อยต่ำ พร้อมลิมิเต็ดสลิป

          สำหรับช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระสองชั้นปีกนกคู่ และแบบอิสระปีกนกที่ด้านหลัง ในขณะที่ระบบพวงมาลัยที่เยี่ยมยอดของ E-Type นั้นจะยังใช้แบบแร็คแอนพิเนียนและพวงมาลัยไม้ตามประเพณีของ Jaguar ส่วนระบบเบรกด้านหน้าจะเป็นดิสก์เบรก และด้านหลังจะเป็นแบบดั้งเดิมของ E-Type


          ตัวถังแบบโมโนค็อกจะถูกผลิตใน Whitley พร้อมกับติดตั้งคานรองรับเครื่องยนต์และจะถูกส่งขึ้นเรือเพื่อไปพ่นสีที่ Gaydon Centre ของ Jaguar หลังจากนั้นจะถูกนำมายังส่วนของ Jaguar Heritage ที่โรงงาน Browns Lane เพื่อติดตั้งระบบส่งกำลัง ช่วงล่าง เบรค พวงมาลัย อุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์การใช้งาน รวมไปงานตกแต่งอื่น ๆ ซึ่งการประกอบ Lightweight E-Type จะถูกผลิตในพื้นที่ละแวกใกล้เคียงกับ Lightweight E-Type รุ่นดั้งเดิมที่เคยผลิตในปี 1963-1964 ภายใต้ทักษะของช่างที่มีความชำนาญสูง เช่นเดียวกับคันต้นแบบของ JLR โดยในขั้นตอนนี้ทาง Jaguar จะให้ลูกค้าสามารถกำหนดสเปคของรถเพื่อความพิเศษแบบเฉพาะตัวเพียงซึ่งจะมีเพียงคันเดียวในโลกเท่านั้น หลังจากนั้น Jaguar จะใช้เวลา 15 วัน เพื่อทดสอบและปรับตั้งค่าช่วงล่างและการขับขี่ที่ดีที่สุดโดยหัวหน้าวิศวกรของ Jaguar

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

          การออกแบบ Jaguar Advance Design Studio จะทำงานร่วมกับขั้นตอนก่อนหน้าเพื่อคัดสรรวัสดุเช่น ลายของเนื้อไม้และสีไม้ให้เหมาะสมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ Jaguar ในส่วนของงานหนังจะใช้หนังแท้ คอนนอลลี่ คุณภาพสูงโดยผู้ผลิตหนังชื่อดังระดับโลกอย่าง Jonathan Connally ซึ่งจะสรรหาหนังที่มีคุณลักษณะเดียวกับที่ Jaguar ใช้ในยุค 1960 โดยแผ่นหนังแท้นั้นจะถูกนำมาหุ้มเบาะนั่งแบบบัคเก็ตซีท แผงคอนโซลกลาง ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 7 สี
  
          นอกจากนี้หากลูกค้าต้องการให้ Jaguar Lightweight E-Type เป็นรถ GT น้ำหนักเบาพันธุ์แท้สามารถเลือกติดตั้งอุปกรณ์เท่าที่ต้องการได้เพื่อลดน้ำหนักส่วนเกิน หรือลูกค้าจะเลือกตกแต่งแบบจัดเต็มก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยจะประกอบไปด้วย งานบุแผงประตู บุหลังคาสำหรับหลังคาแข็งแบบถอดได้ พื้นรถบุด้วยหนัง รวมถึงหุ้มเกียร์ด้วยหนังทั้งนี้การตกแต่งภายในของ Car Zero ในส่วนของพื้นตัวถัง ขอบชายประตู ด้านท้ายรถ จะไม่มีการพ่นสีเพื่อโชว์งานตัวถังแบบอลูมิเนียม

          โดยทางสตูดิโอของ Jaguar ได้คัดสรร 6 โทนสีภายนอกตามขนบธรรมเนียมดั้งเดิมของ Jaguar ให้ลูกค้าเลือกคือ คาร์ไมน์เรด, โอปอลเลสเซนต์ เกรย์ เมทัลลิกซิลเวอร์ เมทัลลิก, โอปอลเลสเซนต์ บลู เมทัลลิก, บริติช เรซซิ่ง กรีน และโอลด์ อิงลิช ไวท์ ซึ่งในส่วนของการตกแต่งภายในลูกค้าสามารถเลือกตกแต่งเพื่อความพิเศษเฉพาะตัวของลูกค้าได้โดยจะมีดีไซน์เนอร์คนดังของ Jaguar อย่าง Ian Callum คอยให้คำปรึกษาและแนะนำแบบเป็นการส่วนตัว

          และทั้งหมดนี้คือความพิเศษเฉพาะของ Jaguar Lightweight E-Type ที่บรรจงสร้างรถคลาสสิกขนานแท้ ถึงแม้เราจะอยู่ในปี 2015 ด้านราคาจำหน่ายนั้นไม่มีการเปิดเผยแต่ก็พอเดา ๆ ได้ว่าแพงเอาการแน่นอนครับ 

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

Jaguar Lightweight E-Type

ภาพจาก netcarshow

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
Jaguar Lightweight E-Type คลาสสิกเหนือกาลเวลา อัปเดตล่าสุด 19 กรกฎาคม 2564 เวลา 15:57:36 3,830 อ่าน
TOP